Wednesday, June 30, 2010
Bert Denly, c1924 Model 18 Norton
Simon: "This is Bert Denly at Brooklands. The silencer makes me think the picture was taken in '26 or so, even though it still shows the early 'straight' rockers."
Roger: "Bert didn't join O'Donovan at Brooklands until April 1923. The Brooklands can rather than the "python" exhaust puts it later than 1924. The cycle parts look very much like the pictures of the Monza record breaking machine in 1924 so I would date the machine as 1924. It is remarkably clean for a Don Norton so that would rule out 1926 making it more likely the pic was taken in 1925."
ขิงแก่คึกดันบิ๊กไบค์เกิด...ค่ายจยย.ยักษ์ขยับลุย
รัฐบาลขิงแก่ได้ที หลังผลักดันอีโคคาร์สำเร็จ เตรียมผลักดันโครงการสนับสนุนไทย เป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ ตั้งแต่ขนาดเครื่องยนต์ 500 ซีซีขึ้นไป หลังจากค่ายรถระดับนำของโลกจากอังกฤษ “ไทรอัมพ์” ตัดสินใจนำเม็ดเงินกว่า 3,500 ล้านบาท ลงทุนตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนและประกอบในไทย ที่จังหวัดระยอง
และแน่นอนแผนผลักดันดังกล่าว ย่อมต้องได้รับความสนใจจากค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันยึดตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กในไทยอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ประกาศรุกตลาดบิ๊กไบค์แล้ว โดย “ยามาฮ่า” ลุยแน่นอนปลายปีนี้ พร้อมลงทุนกว่า 15 ล้านบาท เปิดโชว์รูมรองรับโดยเฉพาะ ขณะที่เจ้าตลาด “ฮอนด้า” แม้จะยังสงวนท่าที แต่ก็รับกำลังศึกษาแผนนำผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ รวมถึงบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่มาเสริมตลาดเช่นกัน
หลังจากรัฐบาลขิงแก่ภายใต้การนำของ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันโครงการรถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ คลอดออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และก็มีค่ายรถ “ฮอนด้า” เด้งรับลูกประกาศลงทุนไปแล้ว ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 6.2 พันล้านบาท และยังมีอีกหลายค่ายที่สนใจเช่นกัน เพียงแต่ต้องขอศึกษาตามกรอบเวลาที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ จึงยังไม่เปิดตัวออกมาชัดเจนเท่านั้น
โครงการอีโคคาร์จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ยิ้มแป้นทีเดียว และจะว่าไปแล้วถือเป็นผลงานชิ้นแรก ที่รัฐบาลขิงแก่ดำเนินการสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจนก็ว่าได้ นี่จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ดูเหมือนจะคึกคักสุดขีด และเตรียมผลักดันโครงการใหม่ออกมาเสียบต่ออีโคคาร์ทันที
โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม “โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์” เปิดเผยภายหลังจากการเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรและอิตาลี่ ระหว่างวันที่ 25-29 กรกฏคมที่ผ่านมาว่า
จากการพูดคุยกับ นายจอห์น บลัวร์ ประธานบริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ อันดับ 7 ของโลก ภายใต้ชื่อยี่ห้อ “ไทรอัมพ์” ทราบว่าให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ในการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนบิ๊กไบค์ และทำการประกอบ ที่จังหวัดระยอง โดยจะเริ่มผลิตเครื่องยนต์ในปี 2551 เป็นต้นไป
"จากการลงทุนของไทรอัมพ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสนใจที่จะขยายฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ เพื่อให้ครบวงจรมากขึ้น จากปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กที่สำคัญของโลกแล้ว โดยให้นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กำหนดแผนส่งเสริมการลงทนผลิตมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซีขึ้นไป ซึ่งทั่วโลกมีความต้องการมากกว่า 100,000 คันต่อปี"
ส่วนการกำหนดรายละเอียดการส่งเสริมการลงทุนคล้ายกับการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ของโลก และมั่นใจว่านอกเหนือจากไทรอัมพ์แล้ว ยังมีผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยอีก 2-3 ราย ที่จะให้ความสนใจนโยบายดังกล่าว คาดว่าแผนการส่งเสริมการลงทุนจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้
นั่นคือไอเดียบรรเจิดของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ซึ่งกลับมามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ภายหลังจากผลักดันโครงการอีโคคาร์แจ้งเกิดสำเร็จ และจะว่าไปแล้วโอกาสผลักดันโครงการบิ๊กไบค์ให้สำเร็จ ดูจะง่ายกว่าอีโคคาร์เสียด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ปริมาณตลาดรถบิ๊กไบค์ในไทยเองก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก การที่ไทรอัมพ์มาลงทุนผลิตชิ้นส่วนและประกอบในไทย คงน่าจะมาจากเรื่องของอัตราค่าแรงของไทยไม่สูงมาก ขณะที่ศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนอยู่ในระดับมาตรฐานสากลอยู่แล้ว การมาตั้งโรงงานในไทยจึงมุ่งที่การส่งออกมากกว่า การชิงหักเหลี่ยมโหดของค่ายรถจักรยานยนต์เจ้าเก่าและเจ้าใหม่ จึงไม่น่าจะรุนแรงมากเหมือนกับรถยนต์ ยิ่งเมื่อรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษคล้ายกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้แต่ละค่ายตอบรับด้วยดี
ในส่วนของไทรอัมพ์เป็นบิ๊กไบค์ที่เพิ่งเข้ามารุกตลาดไทยอย่างจริงจัง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากมีการชิมลางมาได้ระยะหนึ่ง ด้วยการแต่งตั้งบริษัท บริทไบค์ จำกัด ภายใต้การนำของพระเอกร่างบึก “ดอม เหตระกูล” และเพื่อนๆ เป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทย
สำหรับระยะแรกนี้บริทไบค์จะนำเข้าบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์มาทำตลาดก่อน โดยในการเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ ได้ประกาศจะนำเข้ารถมาทำตลาดในไทยทั้งสิ้น 12 รุ่น ครอบคลุม 3 สไตล์ การขับขี่ของผู้บริโภค ได้แก่ รถแบบโมเดิร์น คลาสสิค ซึ่งขับขี่ง่ายมีรุ่น Bonneville, Bonneville T100, Scramble และ Thruxton อีกแบบรถสปอร์ต เช่นรุ่น Daytona 675, Speed Triple, Sprint ST และ Tiger 1050 และสุดท้ายแบบครุยเซอร์ไลน์ซุปเปอร์เดินทางไกล อาทิ America, Speed Master, Rocket 3 และ Rocket 3 Classic
โดยบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์ที่นำเข้ามาจำหน่าย จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่คันละ 5 แสนบาท ไปจนถึง 1.2 ล้านบาท โดยบริทไบค์ รับประกัน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยในส่วนของเครือข่ายนอกจากในกรุงเทพฯ ภายในสิ้นปีนี้เตรียมจะขยายครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยาด้วย
ต่อไปนี้คงต้องจับตาบิ๊กไบค์ยี่ห้อนี้ให้ดี แม้ปัจจุบันชื่อเสียงไทรอัมพ์ในเมืองไทย จะรู้จักกันเพียงเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่หากรัฐบาลขิงแก่ผลักดันและให้การสนับสนุนบิ๊กไบค์กรณีพิเศษสำเร็จ เชื่อว่าไทรอัมพ์จะประกาศศักดาแบรนด์รถระดับโลกให้ชาวไทยได้รับรู้กันมากกว่านี้แน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าบรรดาค่ายรถยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น จะปล่อยตลาดนี้ให้กับค่ายรถสัญชาติยุโรป อย่างไทรอัมพ์ที่กำลังเดินหน้าทั้งผลิตและขายในไทย หรือบีเอ็มดับเบิลยูที่ทำตลาดในไทยมาได้ระหนึ่งแล้ว เพราะบรรดารถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจรุกตลาดบิ๊กไบค์อย่างจริงจังเช่นกัน
เริ่มจาก “ยามาฮ่า” ที่ประกาศชัดเจนปีนี้ทำตลาดบิ๊กไบค์แน่นอน โดยในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีการนำบิ๊กไบค์ถึง 6 รุ่นมาเผยโฉมให้ลูกค้าได้ยลโฉม ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการช่วงปลายปีนี้ ที่สำคัญได้ลงทุนเตรียมเปิดโชว์รูมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ที่บริเวณด้านหลังศูนย์การค้าเอสพลานาด บนถนนรัชดาภิเษก เพื่อรองรับการทำตลาดบิ๊กไบค์เพียงอย่างเดียว ขณะที่ต่างจังหวัดเล็งขยายไปที่เชียงใหม่ และพัทยา เช่นเดียวกับไทรอัมพ์เพราะมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจำนวนมาก
“บิ๊กไบค์ยามาฮ่าที่จะนำมาจำหน่าย มีตั้งแต่ขนาด 400-1300 ซีซี ราคาเริ่มต้นที่ 2-3 แสนบาทขึ้นไป แม้ตลาดรถจักรยานยนต์ในไทยจะหดตัว แต่บิ๊กไบค์เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถประเภทนี้พิเศษ ราคาจึงไม่เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด โดยช่วงแรกยามาฮ่าตั้งเป้าขายเดือนละประมาณ 20 คัน”
จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด กล่าวและว่า โดยรถที่จะนำเข้ามาทำตลาดคาดว่าจะเป็นรุ่น Majesty 400 บิ๊กสกู๊ตเตอร์ขนาด 400 ซีซี รุ่น YZF-R1 บิ๊กไบค์ขนาด 998 ซีซี รุ่น YZF-R6 ซูเปอร์สปอร์ตจากสนามแข่ง 599 ซีซี รุ่น FZ1 Fazer ขนาด 998 ซีซี FZ6 เครื่องยนต์ 600 ซีซี และรุ่น FJR1300A ขนาดเครื่องยนต์ 1298 ซีซี
ส่วนค่ายยักษ์ใหญ่ “ฮอนด้า” แม้จะยังไม่เผยไต๋ชัดเจนนัก ประกอบกับยังไม่ทราบถึงไอเดียผลักดันให้มีการผลิตบิ๊กไบค์ในไทย โดยการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนเป็นกรณีพิเศษจากรัฐบาลชิงแก่ แต่ก่อนหน้านี้ก็แย้มออกมาถึงความสนใจที่จะขยายผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ สู่ตลาดในไทย ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่
“หากมองสภาวะตลาดขณะนี้ บิกไบค์และสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่ ยังถือเป็นรถเฉพาะกลุ่มอยู่ แต่อนาคตก็ย่อมต้องขยายตัวมากขึ้น ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ฮอนด้ากำลังศึกษาอยู่ ซึ่งในการเพิ่มไลน์สินค้าของฮอนด้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และแน่นอนก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาตลาดรถประเภทนี้เมื่อไหร่ ฮอนด้าก็พร้อมที่จะทำตลาดเช่นกัน” ชินโกะ คิมาตะ กรรมการบรหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัดกล่าว
จากความเคลื่อนไหวของสองค่ายยักษ์ใหญ่รถจักรยานยนต์ในไทย โดยเฉพาะยามาฮ่าที่มีความชัดเจนแน่นอน กับการทำตลาดบิ๊กไบค์ในไทย หรือฮอนด้าที่แม้ะยังตอบแบบสงวนท่าทีอยู่ แต่ก็ยืนยันพร้อมจะทำตลาดเช่นกัน หากตลาดมีความต้องการ
เหตุนี้เมื่อรัฐบาลขิงแก่ประกาศนโยบายชัดเจน ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตบิ๊กไบค์ของโลก ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมเป็นกรณีพิเศษ เช่นเดียวกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้สองค่ายยักษ์ใหญ่ ที่มีโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก พร้อมที่จะตอบรับทันทีเช่นกัน
เพิ่มเติม http://www.oknation.net
และแน่นอนแผนผลักดันดังกล่าว ย่อมต้องได้รับความสนใจจากค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันยึดตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กในไทยอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ประกาศรุกตลาดบิ๊กไบค์แล้ว โดย “ยามาฮ่า” ลุยแน่นอนปลายปีนี้ พร้อมลงทุนกว่า 15 ล้านบาท เปิดโชว์รูมรองรับโดยเฉพาะ ขณะที่เจ้าตลาด “ฮอนด้า” แม้จะยังสงวนท่าที แต่ก็รับกำลังศึกษาแผนนำผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ รวมถึงบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่มาเสริมตลาดเช่นกัน
หลังจากรัฐบาลขิงแก่ภายใต้การนำของ “พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” นายกรัฐมนตรี ได้ผลักดันโครงการรถประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรืออีโคคาร์ คลอดออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และก็มีค่ายรถ “ฮอนด้า” เด้งรับลูกประกาศลงทุนไปแล้ว ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 6.2 พันล้านบาท และยังมีอีกหลายค่ายที่สนใจเช่นกัน เพียงแต่ต้องขอศึกษาตามกรอบเวลาที่รัฐบาลเปิดโอกาสให้ จึงยังไม่เปิดตัวออกมาชัดเจนเท่านั้น
โครงการอีโคคาร์จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ยิ้มแป้นทีเดียว และจะว่าไปแล้วถือเป็นผลงานชิ้นแรก ที่รัฐบาลขิงแก่ดำเนินการสำเร็จเป็นรูปธรรมชัดเจนก็ว่าได้ นี่จึงทำให้รัฐบาลขิงแก่ดูเหมือนจะคึกคักสุดขีด และเตรียมผลักดันโครงการใหม่ออกมาเสียบต่ออีโคคาร์ทันที
โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม “โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์” เปิดเผยภายหลังจากการเดินทางไปเยือนสหราชอาณาจักรและอิตาลี่ ระหว่างวันที่ 25-29 กรกฏคมที่ผ่านมาว่า
จากการพูดคุยกับ นายจอห์น บลัวร์ ประธานบริษัท ไทรอัมพ์ มอเตอร์ไซเคิลส์ ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ อันดับ 7 ของโลก ภายใต้ชื่อยี่ห้อ “ไทรอัมพ์” ทราบว่าให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี ในการสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนบิ๊กไบค์ และทำการประกอบ ที่จังหวัดระยอง โดยจะเริ่มผลิตเครื่องยนต์ในปี 2551 เป็นต้นไป
"จากการลงทุนของไทรอัมพ์ดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสนใจที่จะขยายฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ เพื่อให้ครบวงจรมากขึ้น จากปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กที่สำคัญของโลกแล้ว โดยให้นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ กำหนดแผนส่งเสริมการลงทนผลิตมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซีซีขึ้นไป ซึ่งทั่วโลกมีความต้องการมากกว่า 100,000 คันต่อปี"
ส่วนการกำหนดรายละเอียดการส่งเสริมการลงทุนคล้ายกับการผลิตรถยนต์อีโคคาร์ เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถบิ๊กไบค์ของโลก และมั่นใจว่านอกเหนือจากไทรอัมพ์แล้ว ยังมีผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยอีก 2-3 ราย ที่จะให้ความสนใจนโยบายดังกล่าว คาดว่าแผนการส่งเสริมการลงทุนจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้
นั่นคือไอเดียบรรเจิดของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ซึ่งกลับมามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ภายหลังจากผลักดันโครงการอีโคคาร์แจ้งเกิดสำเร็จ และจะว่าไปแล้วโอกาสผลักดันโครงการบิ๊กไบค์ให้สำเร็จ ดูจะง่ายกว่าอีโคคาร์เสียด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ปริมาณตลาดรถบิ๊กไบค์ในไทยเองก็ไม่ได้ใหญ่โตนัก การที่ไทรอัมพ์มาลงทุนผลิตชิ้นส่วนและประกอบในไทย คงน่าจะมาจากเรื่องของอัตราค่าแรงของไทยไม่สูงมาก ขณะที่ศักยภาพของผู้ผลิตชิ้นส่วนอยู่ในระดับมาตรฐานสากลอยู่แล้ว การมาตั้งโรงงานในไทยจึงมุ่งที่การส่งออกมากกว่า การชิงหักเหลี่ยมโหดของค่ายรถจักรยานยนต์เจ้าเก่าและเจ้าใหม่ จึงไม่น่าจะรุนแรงมากเหมือนกับรถยนต์ ยิ่งเมื่อรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนเป็นกรณีพิเศษคล้ายกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้แต่ละค่ายตอบรับด้วยดี
ในส่วนของไทรอัมพ์เป็นบิ๊กไบค์ที่เพิ่งเข้ามารุกตลาดไทยอย่างจริงจัง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากมีการชิมลางมาได้ระยะหนึ่ง ด้วยการแต่งตั้งบริษัท บริทไบค์ จำกัด ภายใต้การนำของพระเอกร่างบึก “ดอม เหตระกูล” และเพื่อนๆ เป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทย
สำหรับระยะแรกนี้บริทไบค์จะนำเข้าบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์มาทำตลาดก่อน โดยในการเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ ได้ประกาศจะนำเข้ารถมาทำตลาดในไทยทั้งสิ้น 12 รุ่น ครอบคลุม 3 สไตล์ การขับขี่ของผู้บริโภค ได้แก่ รถแบบโมเดิร์น คลาสสิค ซึ่งขับขี่ง่ายมีรุ่น Bonneville, Bonneville T100, Scramble และ Thruxton อีกแบบรถสปอร์ต เช่นรุ่น Daytona 675, Speed Triple, Sprint ST และ Tiger 1050 และสุดท้ายแบบครุยเซอร์ไลน์ซุปเปอร์เดินทางไกล อาทิ America, Speed Master, Rocket 3 และ Rocket 3 Classic
โดยบิ๊กไบค์ไทรอัมพ์ที่นำเข้ามาจำหน่าย จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่คันละ 5 แสนบาท ไปจนถึง 1.2 ล้านบาท โดยบริทไบค์ รับประกัน 2 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยในส่วนของเครือข่ายนอกจากในกรุงเทพฯ ภายในสิ้นปีนี้เตรียมจะขยายครอบคลุมหัวเมืองใหญ่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยาด้วย
ต่อไปนี้คงต้องจับตาบิ๊กไบค์ยี่ห้อนี้ให้ดี แม้ปัจจุบันชื่อเสียงไทรอัมพ์ในเมืองไทย จะรู้จักกันเพียงเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่หากรัฐบาลขิงแก่ผลักดันและให้การสนับสนุนบิ๊กไบค์กรณีพิเศษสำเร็จ เชื่อว่าไทรอัมพ์จะประกาศศักดาแบรนด์รถระดับโลกให้ชาวไทยได้รับรู้กันมากกว่านี้แน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าบรรดาค่ายรถยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น จะปล่อยตลาดนี้ให้กับค่ายรถสัญชาติยุโรป อย่างไทรอัมพ์ที่กำลังเดินหน้าทั้งผลิตและขายในไทย หรือบีเอ็มดับเบิลยูที่ทำตลาดในไทยมาได้ระหนึ่งแล้ว เพราะบรรดารถจักรยานยนต์ญี่ปุ่นได้ให้ความสนใจรุกตลาดบิ๊กไบค์อย่างจริงจังเช่นกัน
เริ่มจาก “ยามาฮ่า” ที่ประกาศชัดเจนปีนี้ทำตลาดบิ๊กไบค์แน่นอน โดยในงานมอเตอร์โชว์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ได้มีการนำบิ๊กไบค์ถึง 6 รุ่นมาเผยโฉมให้ลูกค้าได้ยลโฉม ก่อนเปิดขายอย่างเป็นทางการช่วงปลายปีนี้ ที่สำคัญได้ลงทุนเตรียมเปิดโชว์รูมมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท ที่บริเวณด้านหลังศูนย์การค้าเอสพลานาด บนถนนรัชดาภิเษก เพื่อรองรับการทำตลาดบิ๊กไบค์เพียงอย่างเดียว ขณะที่ต่างจังหวัดเล็งขยายไปที่เชียงใหม่ และพัทยา เช่นเดียวกับไทรอัมพ์เพราะมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจำนวนมาก
“บิ๊กไบค์ยามาฮ่าที่จะนำมาจำหน่าย มีตั้งแต่ขนาด 400-1300 ซีซี ราคาเริ่มต้นที่ 2-3 แสนบาทขึ้นไป แม้ตลาดรถจักรยานยนต์ในไทยจะหดตัว แต่บิ๊กไบค์เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถประเภทนี้พิเศษ ราคาจึงไม่เป็นอุปสรรค์แต่อย่างใด โดยช่วงแรกยามาฮ่าตั้งเป้าขายเดือนละประมาณ 20 คัน”
จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด กล่าวและว่า โดยรถที่จะนำเข้ามาทำตลาดคาดว่าจะเป็นรุ่น Majesty 400 บิ๊กสกู๊ตเตอร์ขนาด 400 ซีซี รุ่น YZF-R1 บิ๊กไบค์ขนาด 998 ซีซี รุ่น YZF-R6 ซูเปอร์สปอร์ตจากสนามแข่ง 599 ซีซี รุ่น FZ1 Fazer ขนาด 998 ซีซี FZ6 เครื่องยนต์ 600 ซีซี และรุ่น FJR1300A ขนาดเครื่องยนต์ 1298 ซีซี
ส่วนค่ายยักษ์ใหญ่ “ฮอนด้า” แม้จะยังไม่เผยไต๋ชัดเจนนัก ประกอบกับยังไม่ทราบถึงไอเดียผลักดันให้มีการผลิตบิ๊กไบค์ในไทย โดยการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนเป็นกรณีพิเศษจากรัฐบาลชิงแก่ แต่ก่อนหน้านี้ก็แย้มออกมาถึงความสนใจที่จะขยายผลิตภัณฑ์ประเภทใหม่ๆ สู่ตลาดในไทย ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กไบค์ หรือสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่
“หากมองสภาวะตลาดขณะนี้ บิกไบค์และสกู๊ตเตอร์ขนาดใหญ่ ยังถือเป็นรถเฉพาะกลุ่มอยู่ แต่อนาคตก็ย่อมต้องขยายตัวมากขึ้น ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ฮอนด้ากำลังศึกษาอยู่ ซึ่งในการเพิ่มไลน์สินค้าของฮอนด้า ขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และแน่นอนก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาตลาดรถประเภทนี้เมื่อไหร่ ฮอนด้าก็พร้อมที่จะทำตลาดเช่นกัน” ชินโกะ คิมาตะ กรรมการบรหารและผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัดกล่าว
จากความเคลื่อนไหวของสองค่ายยักษ์ใหญ่รถจักรยานยนต์ในไทย โดยเฉพาะยามาฮ่าที่มีความชัดเจนแน่นอน กับการทำตลาดบิ๊กไบค์ในไทย หรือฮอนด้าที่แม้ะยังตอบแบบสงวนท่าทีอยู่ แต่ก็ยืนยันพร้อมจะทำตลาดเช่นกัน หากตลาดมีความต้องการ
เหตุนี้เมื่อรัฐบาลขิงแก่ประกาศนโยบายชัดเจน ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตบิ๊กไบค์ของโลก ด้วยการสนับสนุนส่งเสริมเป็นกรณีพิเศษ เช่นเดียวกับอีโคคาร์ จึงน่าจะทำให้สองค่ายยักษ์ใหญ่ ที่มีโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ในไทยใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก พร้อมที่จะตอบรับทันทีเช่นกัน
เพิ่มเติม http://www.oknation.net
Tuesday, June 29, 2010
1946 Model 18 Norton
Stretching the rules a bit, as this Norton is too young to feature on this website; but the photo found on Flickr is too nice not to include.
It's a 1946 Model 18. Giveaways are the front brake drum on the right-hand side of the machine, the way the headlight is fitted to the forks with four brackets and - just visible- the smooth appearance of the upright gearbox.
ยามาฮ่า'ซูเปอร์แบรนด์2010'
ยามาฮ่าคว้ารางวัล "ซูเปอร์แบรนด์แห่งปี"จากเวทีซูเปอร์แบรนด์ 2010 ตอกย้ำแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดรถจักรยานยนต์ ชี้ชนะใจกรรมการจากการสร้างสรรค์กิจกรรมการตลาดตรงกับไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย
นายฟูมิอากิ นางาชิมา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ยามาฮ่าตอกย้ำแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดรถจักรยานยนต์ด้วยรางวัลชนะเลิศ ซูเปอร์แบรนด์ 2010 รางวัลที่ได้รับการการันตีด้วยผลสำรวจ และวิจัยจากผู้บริโภคและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดกว่า 2,500 บริษัทในประเทศไทยเพื่อนำเสนอแบรนด์ที่เป็นที่สุด โดยยามาฮ่าเป็นหนึ่งเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็น "ซูเปอร์แบรนด์แห่งปี" จากบริษัทที่เข้าร่วมทั้งหมดกว่า 6,280 แบรนด์ใน 79 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างประเทศ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพของแบรนด์ที่เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบรับความต้องการทุกการใช้งานของผู้บริโภคแล้ว ยามาฮ่ายังมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะ และเป็นผู้นำด้านการออกแบบด้วยดีไซน์ลงตัวสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังตอกย้ำความเป็นแบรนด์ผู้นำในการสร้างสรรค์กิจกรรมที่เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ผู้ขับขี่ทุกกลุ่มเป้าหมาย
"ยามาฮ่ามีความภูมิใจเป็นอย่างมากกับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ โดยยามาฮ่าพร้อมมุ่งมั่นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งอยู่ตลอดเวลา เพื่อการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีทางด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถนำความพึงพอใจของลูกค้า และนำหน้าด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ นอกจากการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์แล้วยามาฮ่ายังตระหนักถึงผู้บริโภคเป็นสำคัญด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นรางวัลซูเปอร์แบรนด์แห่งปีที่ได้รับในปีนี้นั้น ถือว่าเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จจากความพยายามในการสร้างสรรค์แบรนด์ให้มีความโดดเด่นและแข็งแกร่ง และมีความชัดเจนในฐานะผู้นำที่มีความแตกต่าง พร้อมกันนี้ยามาฮ่าพร้อมประกาศรักษามาตรฐานแบรนด์คุณภาพเพื่อครองใจผู้บริโภคต่อไป"
สำหรับยามาฮ่าได้สร้างกระแสความแตกต่าง และตื่นตัวในการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ยามาฮ่าให้กับกลุ่มลูกค้าได้อย่างชัดเจน และได้รับการตอบรับมากมาย จนทำให้ยามาฮ่าเป็นที่กล่าวถึงด้วยความชื่นชมทั้งในวงการอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ และจากผู้นำธุรกิจอื่นๆ รวมถึงจากแวดวงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทำให้ยามาฮ่าเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีเยี่ยมต่อทัศนคติของกลุ่มผู้ใช้ และมียอดขายที่ดีเกินความคาดหมาย และตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ระบบออโตเมติกของยามาฮ่าอีกด้วย ซึ่งรางวัลดังกล่าวสามารถการันตีให้เห็นถึงความเป็นสุดยอดแบรนด์ส่งผลให้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสายต่างๆ
เพิ่มเติม http://www.thannews.th.com
นายฟูมิอากิ นางาชิมา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ยามาฮ่าตอกย้ำแบรนด์อันดับหนึ่งในตลาดรถจักรยานยนต์ด้วยรางวัลชนะเลิศ ซูเปอร์แบรนด์ 2010 รางวัลที่ได้รับการการันตีด้วยผลสำรวจ และวิจัยจากผู้บริโภคและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดกว่า 2,500 บริษัทในประเทศไทยเพื่อนำเสนอแบรนด์ที่เป็นที่สุด โดยยามาฮ่าเป็นหนึ่งเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็น "ซูเปอร์แบรนด์แห่งปี" จากบริษัทที่เข้าร่วมทั้งหมดกว่า 6,280 แบรนด์ใน 79 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างประเทศ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพของแบรนด์ที่เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบรับความต้องการทุกการใช้งานของผู้บริโภคแล้ว ยามาฮ่ายังมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะ และเป็นผู้นำด้านการออกแบบด้วยดีไซน์ลงตัวสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค อีกทั้งยังตอกย้ำความเป็นแบรนด์ผู้นำในการสร้างสรรค์กิจกรรมที่เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ผู้ขับขี่ทุกกลุ่มเป้าหมาย
"ยามาฮ่ามีความภูมิใจเป็นอย่างมากกับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ โดยยามาฮ่าพร้อมมุ่งมั่นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งอยู่ตลอดเวลา เพื่อการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่งของผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีทางด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถนำความพึงพอใจของลูกค้า และนำหน้าด้านเทคโนโลยีที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคอยู่เสมอ นอกจากการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์แล้วยามาฮ่ายังตระหนักถึงผู้บริโภคเป็นสำคัญด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นรางวัลซูเปอร์แบรนด์แห่งปีที่ได้รับในปีนี้นั้น ถือว่าเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จจากความพยายามในการสร้างสรรค์แบรนด์ให้มีความโดดเด่นและแข็งแกร่ง และมีความชัดเจนในฐานะผู้นำที่มีความแตกต่าง พร้อมกันนี้ยามาฮ่าพร้อมประกาศรักษามาตรฐานแบรนด์คุณภาพเพื่อครองใจผู้บริโภคต่อไป"
สำหรับยามาฮ่าได้สร้างกระแสความแตกต่าง และตื่นตัวในการสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ยามาฮ่าให้กับกลุ่มลูกค้าได้อย่างชัดเจน และได้รับการตอบรับมากมาย จนทำให้ยามาฮ่าเป็นที่กล่าวถึงด้วยความชื่นชมทั้งในวงการอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ และจากผู้นำธุรกิจอื่นๆ รวมถึงจากแวดวงสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทำให้ยามาฮ่าเป็นแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีเยี่ยมต่อทัศนคติของกลุ่มผู้ใช้ และมียอดขายที่ดีเกินความคาดหมาย และตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำรถจักรยานยนต์ระบบออโตเมติกของยามาฮ่าอีกด้วย ซึ่งรางวัลดังกล่าวสามารถการันตีให้เห็นถึงความเป็นสุดยอดแบรนด์ส่งผลให้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในสายต่างๆ
เพิ่มเติม http://www.thannews.th.com
Monday, June 28, 2010
What's this then?
A cutting from one of the old Motor Cycle magazines, does anyone have the answer as to what this is? Some suggest it may have to do with water injection or some sort of dual fuel set-up, a war-time bodge due to fuel shortage? It seems to be fitted to an early 1920s Big Four Norton.
Roger: "I think we can rule out the dual fuel idea as this would require a large gas bag or a generator unless there is a sidecar hidden at the back of the picture. In any case there isn't a mixing chamber or feed to the carb.
The water injection idea would not require timing as the vacuum from the down stroke on the inlet cycle would suffice and the reservoir is too small.
The answer may lie in the absence of valve springs, there is a cylinder where they would normally be. How about a desmodromic side valve conversion with the valves closed by the contraption driven from the exhaust cam, operating push rods going down through holes bored in the cylinder finning. This would allow direct operation of the closing pushrods by a lobed cam in the top assembly. Lubrication of these cams could be via the reservoir which would feed oil to the "apparatus" while the camshaft bearings appear to have greasers.
Given the overhead valve conversion featured earlier this may not be as far fetched as it seems!
There is a fatal flaw in the design however! The drive uses a Bowden type cable which was probably intended for driving a speedometer from the look of it. The Ford Focus uses a similar cable in torsion to open the bonnet with a key. The one on our Focus failed after three years because it couldn't stand the repeated changes in direction which for opening the bonnet is not that many times. The cams would place a similar load reversal on the cable especially if a light spring is used to hold the valves closed."
Update: find the answer by clicking this link.
Sunday, June 27, 2010
Nystrom on a c1926 racing Norton
By Simon
Here's another of Per Nystrom - perhaps with the same bike. It comes from a 1927 edition of the Swedish magazine Motornyheterna and the caption probably says 'Per Nystrom with his factory Norton. The cycle parts are probably from a 1926 model'. OP1853 is a Birmingham registration number.
Here's another of Per Nystrom - perhaps with the same bike. It comes from a 1927 edition of the Swedish magazine Motornyheterna and the caption probably says 'Per Nystrom with his factory Norton. The cycle parts are probably from a 1926 model'. OP1853 is a Birmingham registration number.
The front brake is not connected and there is no oil tank atall! But look carefully and you'll see the manual oil pump fitted in the petrol tank - just below his right hand. Perhaps he was using the bike for sprints - or something similar - and was not using the automatic oil pump in the crank case. The tank would need to be from an earlier OHV bike ('23-ish?) where no separate oil tank was fitted. This would also explain use of the Dance grips on a strap. These were made by the John Bull Rubber company and one could buy them with the strap - or to go on the more usual mounting plates on the tank.
Although the picture is only a photocopy and lacking clarity, it looks as if the bike still has beaded edge rims which would be likely if it was a Model 25 but less likely if it was one of the 1926 Works bikes which sported 21 x 3 wired on tyres back and front. Compared to the other Nystrom photo, the carb. looks different but the Dance knee grips seem to be the same. You will notice the hand written comments....... who's got it now??
Saturday, June 26, 2010
1928 CS1 Norton
Nice projects still surface. This 1928 Norton CS1, and quite a few spares, were recently bought by Bill in the US.
Friday, June 25, 2010
"ฟีม" รั้งที่ 3 รอบซ้อม ดัตช์ ทีที
รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดทีมไทยฮอนด้าพีทีทีสิงห์แซค โชว์ผลงานในรอบฝึกซ้อมวันแรกของศึกมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกรายการ ดัตช์ ทีที ได้อย่างยอดเยี่ยม หลังทำเวลาต่อรอบดีที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในรุ่นโมโตทู พร้อมตั้งเป้าออกสตาร์ทแถวหน้าในการควอลิฟาย คืนวันนี้
ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกสนามที่ 6 ของฤดูกาล 2010 รายการดัตช์ ทีที แข่งขันกันที่ แอสเซน เซอร์กิต ประเทศฮอลแลนด์ โดยเรซนี้เป็นเรซเดียวของปีที่รอบชิงชนะเลิศแข่งกันช่วงวันเสาร์ของสุดสัปดาห์แข่งขัน โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเป็นการ ลงสนามในรอบฝึกซ้อม
โดยในรุ่นโมโตทู 600 ซีซี "เจ้าฟีม" รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดหนึ่งเดียวของไทย โชว์ฟอร์มเยี่ยม หลังบิดรถ HB4 หมายเลข 14 คู่ใจ ทำเวลาต่อรอบ ดีที่สุดเป็นอันดับที่ 3 จากนักบิด 40 คน ด้วยเวลา 1 นาที 40.172 วินาที ช้ากว่า อันเดร เอียนโนเนน บิดอิตาเลียนจากทีมสปีด อัพ ที่ทำเวลาอันดับหนึ่งอยู่ 0.599 วินาที
ภายหลังการนำรถลงจับเวลา นักบิดหน้าตี๋เผยเว็บไซต์ทีมแซคว่า "ผมมีความสุขมากกับความสมบูรณ์ของรถ โดยเฉพาะตัวรถบิโมตาที่ทำเวลาได้ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ผมยังไม่สามารถใส่เต็มๆได้ในบางโค้ง โดยเฉพาะโค้งความเร็วสูง แต่โดยรวมแล้วเรารถมาถูกทาง และหวังว่าจะทำให้เราควอลิฟายติดแถวหน้าได้เสียที"
ขณะที่ผลการฝึกซ้อมในรุ่นโมโตจีพี 800 ซีซี ฮอร์เก ลอเรนโซ นักบิดจากค่ายเฟีตย-ยามาฮา ที่ยังไม่มีเพื่อนร่วมทีมลงบิดในเรซนี้ ทำเวลาดีที่สุดที่ 1 นาที 35.169 วินาที โดยมี เคซีย์ สโตเนอร์ และนิคกี เฮย์เดน คู่หูจากดูคาติ ทำเวลาตามมาเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ตามด้วยโคลิน เอ็ดเวิร์ดส์ ,อันเดรีย โดวิซิโอโซ และดานี เปโดรซา ตามลำดับ
สำหรับศึกมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกรายการ ดัตช์ ทีที จะแข่งขันรอบควอลิฟายเพื่อจัดกริดสตาร์ทในคืนวันศุกร์ที่ 25 มิ.ย.นี้ ก่อนที่จะชิงชนะเลิศกันในวันเสาร์ที่ 26 มิ.ย. โดยรุ่นโมโตทูจะเริ่มออกสตาร์ทเวลา 17.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกสนามที่ 6 ของฤดูกาล 2010 รายการดัตช์ ทีที แข่งขันกันที่ แอสเซน เซอร์กิต ประเทศฮอลแลนด์ โดยเรซนี้เป็นเรซเดียวของปีที่รอบชิงชนะเลิศแข่งกันช่วงวันเสาร์ของสุดสัปดาห์แข่งขัน โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาเป็นการ ลงสนามในรอบฝึกซ้อม
โดยในรุ่นโมโตทู 600 ซีซี "เจ้าฟีม" รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดหนึ่งเดียวของไทย โชว์ฟอร์มเยี่ยม หลังบิดรถ HB4 หมายเลข 14 คู่ใจ ทำเวลาต่อรอบ ดีที่สุดเป็นอันดับที่ 3 จากนักบิด 40 คน ด้วยเวลา 1 นาที 40.172 วินาที ช้ากว่า อันเดร เอียนโนเนน บิดอิตาเลียนจากทีมสปีด อัพ ที่ทำเวลาอันดับหนึ่งอยู่ 0.599 วินาที
ภายหลังการนำรถลงจับเวลา นักบิดหน้าตี๋เผยเว็บไซต์ทีมแซคว่า "ผมมีความสุขมากกับความสมบูรณ์ของรถ โดยเฉพาะตัวรถบิโมตาที่ทำเวลาได้ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ผมยังไม่สามารถใส่เต็มๆได้ในบางโค้ง โดยเฉพาะโค้งความเร็วสูง แต่โดยรวมแล้วเรารถมาถูกทาง และหวังว่าจะทำให้เราควอลิฟายติดแถวหน้าได้เสียที"
ขณะที่ผลการฝึกซ้อมในรุ่นโมโตจีพี 800 ซีซี ฮอร์เก ลอเรนโซ นักบิดจากค่ายเฟีตย-ยามาฮา ที่ยังไม่มีเพื่อนร่วมทีมลงบิดในเรซนี้ ทำเวลาดีที่สุดที่ 1 นาที 35.169 วินาที โดยมี เคซีย์ สโตเนอร์ และนิคกี เฮย์เดน คู่หูจากดูคาติ ทำเวลาตามมาเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ตามด้วยโคลิน เอ็ดเวิร์ดส์ ,อันเดรีย โดวิซิโอโซ และดานี เปโดรซา ตามลำดับ
สำหรับศึกมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลกรายการ ดัตช์ ทีที จะแข่งขันรอบควอลิฟายเพื่อจัดกริดสตาร์ทในคืนวันศุกร์ที่ 25 มิ.ย.นี้ ก่อนที่จะชิงชนะเลิศกันในวันเสาร์ที่ 26 มิ.ย. โดยรุ่นโมโตทูจะเริ่มออกสตาร์ทเวลา 17.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
คุณน้าวัย 41 ได้บิดแทน "รอสซี"
ทีมเฟียต-ยามาฮ่า ทีมดังแห่งศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก สร้างความฮือฮาด้วยการดึงตัววาทารุ โยชิกาวา นักบิดชาวญี่ปุ่นวัย 41 ปี เข้ามาแทนที่ "เดอะด็อกเตอร์" วาเลนติโน รอสซี ที่ต้องพักยาวจากอุบัติเหตุขาหักที่อิตาลี โดยเตรียมบิดเรซแรกรายการคาตาลัน จีพี วันที่ 4 ก.ค.นี้
หลังจากที่ วาเลนติโน รอสซี ยอดนักบิดแชมป์โลก 9 สมัย ประสบอุบัติเหตุขาหักในรอบฝึกซ้อมศึกอิตาเลียน กรังด์ปรีซ์ ที่สนามมูเจลโล ประเทศอิตาลีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากการผ่านตัดนักบิดวัย 31 ปีจะต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 เดือนล่าสุด เฟียต-ยามาฮ่า ต้นสังกัดได้ประกาศแต่งตั้งให้ วาทารุ โยชิกาวา นักขับทดสอบประจำทีมวัย 41 ปี เข้ามาทำหน้าที่แทนเดอะด็อกเตอร์ตั้งแต่การแข่งขันรายการ คาตาลัน จีพี ที่สนามคาตาลุนญา ประเทศสเปน วันที่ 4 ก.ค.นี้ ไปจนกระทั้งเดอะด็อกเตอร์พร้อมกลัมมาแข่งขันอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มีการคาดกันว่าเฟียต-ยามาฮ่า อาจจะตัดสินใจเลือกเบน สปีส์ นักบิดจากทีม เทคทรี-ยามาฮ่า ซึ่งเป็นทีมน้องในศึกโมโตจีพี ขึ้นมาทำหน้าที่แทนรอสซี ทว่าจากปัญหาบางประการทำให้ยามาฮาจำต้องเลือกใช้บริการนับบิดเจแปนนิส ที่เคยมีประสบการณ์บิดโมโตจีพีเพียง 1 สนามในปี 2002 ทำหน้าที่แทน
สำหรับ วาทารุ โยชิกาวา มีดีกรีแชมป์เจแปนนิส ซูเปอร์ไบค์ ในปี 1994 และ 1999 รวมถึงเคยแข่งขันซูเปอร์ไบค์ชิงแชมป์โลกในปี 1996 ปัจจุบันรถหน้าที่นักขับทดสอบรถยามาฮ่า YZR-M1ให้กับทีมแข่งปลาดิบ ก่อนจะได้รับโอกาสสำคัญลงแข่งโมโตจีพีอีกครั้งในวัย 41 ปี
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
หลังจากที่ วาเลนติโน รอสซี ยอดนักบิดแชมป์โลก 9 สมัย ประสบอุบัติเหตุขาหักในรอบฝึกซ้อมศึกอิตาเลียน กรังด์ปรีซ์ ที่สนามมูเจลโล ประเทศอิตาลีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากการผ่านตัดนักบิดวัย 31 ปีจะต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 5 เดือนล่าสุด เฟียต-ยามาฮ่า ต้นสังกัดได้ประกาศแต่งตั้งให้ วาทารุ โยชิกาวา นักขับทดสอบประจำทีมวัย 41 ปี เข้ามาทำหน้าที่แทนเดอะด็อกเตอร์ตั้งแต่การแข่งขันรายการ คาตาลัน จีพี ที่สนามคาตาลุนญา ประเทศสเปน วันที่ 4 ก.ค.นี้ ไปจนกระทั้งเดอะด็อกเตอร์พร้อมกลัมมาแข่งขันอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มีการคาดกันว่าเฟียต-ยามาฮ่า อาจจะตัดสินใจเลือกเบน สปีส์ นักบิดจากทีม เทคทรี-ยามาฮ่า ซึ่งเป็นทีมน้องในศึกโมโตจีพี ขึ้นมาทำหน้าที่แทนรอสซี ทว่าจากปัญหาบางประการทำให้ยามาฮาจำต้องเลือกใช้บริการนับบิดเจแปนนิส ที่เคยมีประสบการณ์บิดโมโตจีพีเพียง 1 สนามในปี 2002 ทำหน้าที่แทน
สำหรับ วาทารุ โยชิกาวา มีดีกรีแชมป์เจแปนนิส ซูเปอร์ไบค์ ในปี 1994 และ 1999 รวมถึงเคยแข่งขันซูเปอร์ไบค์ชิงแชมป์โลกในปี 1996 ปัจจุบันรถหน้าที่นักขับทดสอบรถยามาฮ่า YZR-M1ให้กับทีมแข่งปลาดิบ ก่อนจะได้รับโอกาสสำคัญลงแข่งโมโตจีพีอีกครั้งในวัย 41 ปี
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
"ฟีม" คึกลุยต่อดัตช์ทีทีเสาร์นี้
รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดสังกัดไทยฮอนด้าพีทีทีสิงห์แซค แห่งศึกโมโตทู มั่นใจสุดขีดว่าจะทำผลงานเก็บแต้มให้ได้เป็นสนามที่ 3 ของฤดูกาลนี้ ในศึกดัตช์ ทีที ที่สนามแอสเซน ประเทศฮอลแลนด์ วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายนนี้ หลังทำเวลาต่อรอบดีที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ในเรซล่าสุด
"ฟีม" ที่เก็บไป 12 แต้ม จาก 4 สนามแรกรั้งอันดับ 16 ในตารางแชมเปียนชิป หวังที่จะขยับอันดับโลกในตารางแชมเปียนชิปอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ หลังกำลังทำผลงานได้ดีต่อเนื่องภายใต้แข่ง HB4 คู่ใจ ด้วยการจบอันดับ 13 จากการออกสตาร์ทกริดที่ 24 ทั้งยังทำเวลาต่อรอบเร็วสุดเป็นที่ 3 ในศึกบริติช จีพี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยนักบิดวัย 22 ปี เผยก่อนเดินทางไปยังประเทศฮอลแลนด์เพื่อลงบิดสนามที่ 5 ของฤดูกาลว่า "หลังจบศึกบริติช จีพี ทั้งผมและทีมงานใจจดจ่อไปที่การแข่งขัยสนามต่อไปทันที เนื่องจากรถของเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการทำเวลาต่อรอบได้เป็นที่ 3 ในเรซที่แล้ว ซึ่งทำให้ผมมั่นใจลึกๆว่าจะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมที่แอสเซนสุดสัปดาห์นี้"
สำหรับการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกสนามที่ 5 ของฤดูกาล 2010 รายการดัตช์ ทีที ซึ่งเป็นรายการเดียวที่แข่งวันเสาร์ จะมีขึ้นที่สนามแอสเซน เซอร์กิต ประเทศฮอลแลนด์ วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายนนี้ โดยรุ่นโมโตทูจะแข่งขันกันเวลา 17.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th
"ฟีม" ที่เก็บไป 12 แต้ม จาก 4 สนามแรกรั้งอันดับ 16 ในตารางแชมเปียนชิป หวังที่จะขยับอันดับโลกในตารางแชมเปียนชิปอีกครั้งในสุดสัปดาห์นี้ หลังกำลังทำผลงานได้ดีต่อเนื่องภายใต้แข่ง HB4 คู่ใจ ด้วยการจบอันดับ 13 จากการออกสตาร์ทกริดที่ 24 ทั้งยังทำเวลาต่อรอบเร็วสุดเป็นที่ 3 ในศึกบริติช จีพี เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยนักบิดวัย 22 ปี เผยก่อนเดินทางไปยังประเทศฮอลแลนด์เพื่อลงบิดสนามที่ 5 ของฤดูกาลว่า "หลังจบศึกบริติช จีพี ทั้งผมและทีมงานใจจดจ่อไปที่การแข่งขัยสนามต่อไปทันที เนื่องจากรถของเรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการทำเวลาต่อรอบได้เป็นที่ 3 ในเรซที่แล้ว ซึ่งทำให้ผมมั่นใจลึกๆว่าจะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมที่แอสเซนสุดสัปดาห์นี้"
สำหรับการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกสนามที่ 5 ของฤดูกาล 2010 รายการดัตช์ ทีที ซึ่งเป็นรายการเดียวที่แข่งวันเสาร์ จะมีขึ้นที่สนามแอสเซน เซอร์กิต ประเทศฮอลแลนด์ วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายนนี้ โดยรุ่นโมโตทูจะแข่งขันกันเวลา 17.15 น. ตามเวลาประเทศไทย
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th
Thursday, June 24, 2010
V-twin Norton
Another one sent by Howard: "A photo of a V-twin Norton in Hobart, back in the early days. The Norton is the motorcycle on the extreme left"
Is it the same Norton as in this picture, taken at a dealer's showroom in Hobart?
Wednesday, June 23, 2010
Nystrom on a c1926 racing Norton
By Simon
I suspect it is a Model 25 but cannot be too sure. The only indication is that little bit of oil tank support lug one can see. But those lugs were fitted to ordinary frames as well if the customer wanted the large oil tank fitted. Nystroms seem to have had a very good relationship with the factory and had various cast-off racing bikes over the years which they used in local events to very good effect.
Tuesday, June 22, 2010
Bartrop, Australian GP, 1939 Model 40 Norton
Contributed by Dennis: "An interesting pic of Bert Bartrop on the line at the Australian GP, Bathurst, Easter 1939. It is his Junior entry, riding number 6. I see in the report of the race that Bartrop was second for 18 laps, then was passed by eventually winner Eddie Wannick, and second man Jim Madsen, both on Nortons and third place man Don Bain on a 495cc OHC Velocette. Bartrop came 4th.
Behind is Harry Hinton on a BSA, number 12... Harry Hinton was known for his Norton exploits and the Hinton Dynasty with Nortons....Sons Eric and Harry Junior (who was killed riding in the Gold Cup event at Imola, Italy, April 1959), then Eric's son Peter....all great riders.
Evocative pic...note the highcrown Cromwell helmet."
Behind is Harry Hinton on a BSA, number 12... Harry Hinton was known for his Norton exploits and the Hinton Dynasty with Nortons....Sons Eric and Harry Junior (who was killed riding in the Gold Cup event at Imola, Italy, April 1959), then Eric's son Peter....all great riders.
Evocative pic...note the highcrown Cromwell helmet."
บ่อนเทใจ "ลอเรนโซ" แชมป์โลก
บรรดาบริษัทรับพนันแบบถูกกฎหมายในยุโรป พากันเทใจยกให้ ฮอร์เก ลอเรนโซ ยอดนักบิดทีมเฟียต-ยามาฮา เป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์โลกโมโตจีพีฤดูกาลนี้ ด้วยการออกอัตราให้นักบิดสแปนิชซิวแชมป์โลกไว้สุดกู่แบบไร้คู่ต่อกร ทั้งที่ยังเหลือการแข่งขันอีกถึง 13 สนามในปีนี้
ลอเรนโซ ที่ต้องลงแข่งในสังกัดเฟียต-ยามาฮา เพียงลำพัง เนื่องจากวาเลนติโน รอสซี เพื่อนร่วมทีมประสบอุบัติเหตุขาหักและต้องพักร่วม 6 เดือน เพิ่งจะคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ที่ 3 ของตัวเองในฤดูกาลนี้ หลังควบนำม้วนเดียวจบคว้าชัยรายการบริติช กรังด์ปรีซ์ ที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ลอเรนโซ ที่ต้องลงแข่งในสังกัดเฟียต-ยามาฮา เพียงลำพัง เนื่องจากวาเลนติโน รอสซี เพื่อนร่วมทีมประสบอุบัติเหตุขาหักและต้องพักร่วม 6 เดือน เพิ่งจะคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ที่ 3 ของตัวเองในฤดูกาลนี้ หลังควบนำม้วนเดียวจบคว้าชัยรายการบริติช กรังด์ปรีซ์ ที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
โดยในเวลานี้รองแชมป์โลกโมโตจีพี 2009 ขยับมีแต้มนำในตารางแชมป์เปียนชิปเป็น 125 คะแนน นำหน้าอันเดรีย โดวิซิโอโซ นักบิดอิตาเลียน และดานี เปรโดรซา นักบิดเพื่อนร่วมชาติ จากเรปโซล-ฮอนด้าอยู่ถึง 37 และ 42คะแนนตามลำดับ
ขณะเดียวกันจากการที่คู่แข่งแย่งแชมป์อย่างรอสซีต้องพักยาว ทำให้บริษัทรับพนันแบบถูกกฎหมายในยุโรป พากันเทใจออกอัตราให้ลอเรนโซเป็นเต็งแชมป์โลกแบบไร้คู่ต่อกร โดยสกายเบ็ตออกราคาให้ ลอเรนโซคว้าแชมป์โลกไว้ที่ 1/14 (แทง 14 ได้ 1) ขณะที่เต็ง 2 เปโดรซา ตามมาแบบไม่เห็นฝุ่นที่ราคา 7/1 (แทง 1 ได้7)
ส่วน วิลเลียมส์ ฮิลล์ ของอังกฤษ ก็ยกให้นักบิดวัย 23 ปี จากสเปนคว้าแชมป์โลกที่ 1/10 (แทง 10 ได้ 1) โดยมีเต็ง 2 เปโดรซา ที่ราคา 6/1 (แทง 1 ได้6) และเต็ง 3 เป็น โดวิซิโอโซ ที่อัตรา 20/1 (แทง 1 ได้ 20 ) ขณะที่บ่อนดังอย่างแลดโบร็กส์ มั่นใจว่าลอเรนโซจะเป็นแชมป์โลกด้วยการปิดรับแทงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อัตราเต็งแชมป์โลกโมโตจีพี 2010 (สกายเบ็ต)
ลอเรนโซ 1/14
เปโดรซา 7/1
โดวิซิโอโซ 16/1
สโตเนอร์ 25/1
รอสซี ,เฮย์เดน 80/1
เดอ บูเนต์ 200/1
สปีส์ 400/1
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
ลอเรนโซ ที่ต้องลงแข่งในสังกัดเฟียต-ยามาฮา เพียงลำพัง เนื่องจากวาเลนติโน รอสซี เพื่อนร่วมทีมประสบอุบัติเหตุขาหักและต้องพักร่วม 6 เดือน เพิ่งจะคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ที่ 3 ของตัวเองในฤดูกาลนี้ หลังควบนำม้วนเดียวจบคว้าชัยรายการบริติช กรังด์ปรีซ์ ที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ลอเรนโซ ที่ต้องลงแข่งในสังกัดเฟียต-ยามาฮา เพียงลำพัง เนื่องจากวาเลนติโน รอสซี เพื่อนร่วมทีมประสบอุบัติเหตุขาหักและต้องพักร่วม 6 เดือน เพิ่งจะคว้าแชมป์กรังด์ปรีซ์ที่ 3 ของตัวเองในฤดูกาลนี้ หลังควบนำม้วนเดียวจบคว้าชัยรายการบริติช กรังด์ปรีซ์ ที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
โดยในเวลานี้รองแชมป์โลกโมโตจีพี 2009 ขยับมีแต้มนำในตารางแชมป์เปียนชิปเป็น 125 คะแนน นำหน้าอันเดรีย โดวิซิโอโซ นักบิดอิตาเลียน และดานี เปรโดรซา นักบิดเพื่อนร่วมชาติ จากเรปโซล-ฮอนด้าอยู่ถึง 37 และ 42คะแนนตามลำดับ
ขณะเดียวกันจากการที่คู่แข่งแย่งแชมป์อย่างรอสซีต้องพักยาว ทำให้บริษัทรับพนันแบบถูกกฎหมายในยุโรป พากันเทใจออกอัตราให้ลอเรนโซเป็นเต็งแชมป์โลกแบบไร้คู่ต่อกร โดยสกายเบ็ตออกราคาให้ ลอเรนโซคว้าแชมป์โลกไว้ที่ 1/14 (แทง 14 ได้ 1) ขณะที่เต็ง 2 เปโดรซา ตามมาแบบไม่เห็นฝุ่นที่ราคา 7/1 (แทง 1 ได้7)
ส่วน วิลเลียมส์ ฮิลล์ ของอังกฤษ ก็ยกให้นักบิดวัย 23 ปี จากสเปนคว้าแชมป์โลกที่ 1/10 (แทง 10 ได้ 1) โดยมีเต็ง 2 เปโดรซา ที่ราคา 6/1 (แทง 1 ได้6) และเต็ง 3 เป็น โดวิซิโอโซ ที่อัตรา 20/1 (แทง 1 ได้ 20 ) ขณะที่บ่อนดังอย่างแลดโบร็กส์ มั่นใจว่าลอเรนโซจะเป็นแชมป์โลกด้วยการปิดรับแทงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อัตราเต็งแชมป์โลกโมโตจีพี 2010 (สกายเบ็ต)
ลอเรนโซ 1/14
เปโดรซา 7/1
โดวิซิโอโซ 16/1
สโตเนอร์ 25/1
รอสซี ,เฮย์เดน 80/1
เดอ บูเนต์ 200/1
สปีส์ 400/1
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
"ฟีม" มั่นขึ้นโพเดียมอยู่ไม่ไกล
รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดสังกัดไทยฮอนด้าพีทีทีสิงห์แซค ในศึกโมโตทู แสดงความพอใจรถแข่งคู่ใจ หลังเก็บแต้มได้เป็นสนามที่ 2 ของฤดูกาลนี้ ในศึกบริติชกรังด์ปรีซ์ ที่สนามซิลเวอร์สโตน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมมั่นใจว่าโอกาสลุ้นยืนโพเดียมในอีก 12 สนามที่เหลืออยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
นักบิดหนึ่งเดียวของไทยในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก เก็บคะแนนสะสมได้เป็นสนามที่ 2 จาก 5 สนามในฤดูกาลนี้ หลังโชว์ฟอร์มเยี่ยมในรายการบริติช กรังด์ปรีซ์ ประเทศอังกฤษ ที่สนามซิลเวอร์สโตน จากการออกตัวกริดที่ 24 และจบการแข่งขันอันดับ 13 ได้สำเร็จ ตามหลังผู้ชนะ 10 วินาที
พร้อมกันนี้ "เจ้าฟีม" ที่เก็บเพิ่มเป็น 12 แต้มรั้งอันดับ 16 ในตารางแชมเปียนชิปรุ่นโมโตทู ยังสร้างผลงานในรถ HB4 หมายเลข 14 ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำเวลาต่อรอบดีที่สุดด้วยเวลา 2 นาที 10.283 วินาที เป็นอันดับที่ 3 จากนักบิด 40 คนที่ลงแข่งขันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยหลังทำผลงานเก็บแต้มได้อีกครั้งฟีมเปิดใจว่า "น่าเสียดายที่เราทำได้ไม่ดีนักในวันคลอลิฟาย เพราะในวันแข่งขันรถของผมสมบูรณ์แบบเอามากๆ ตั้งแต่การออกตัวที่แซงรถกลุ่มหน้าได้ชุดใหญ่ ก่อนจะไปลุ้นชิงอันดับ 9 ในช่วงท้าย แต่สุดท้ายการพลาดเล็กๆน้อยๆของผมทำให้เราจบอันดับ 13 และมีแต้มอีกครั้ง"
พร้อมกันนี้นักบิดหน้าตี๋ยังเอ่ยปากชมทีมงานแซคและทีมเทคนิคจากบิโมตา ที่ช่วยเซ็ตอัพรถได้อย่างลงตัวว่า "เวลาต่อรอบแสดงให็เห็นว่าเราเร็วสู้กับพวกหัวแถวได้ ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทำงานอย่างหนักกับรถคนนี้ และผมมั่นใจว่าหากเรารักษามาตรฐานได้ โอกาสลุ้นโพเดียมที่ผมฝันไว้อยู่ไม่ไกลแน่นอน"
สำหรับฟีมมีคิวนำรถลงแข่งขันสนามต่อไปซึ่งเป็นเรซที่ 6 ของฤดูกาล รายการดัตช์ ทีที 2010 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันเสาร์ที่ 26 มิถุนายนนี้
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
นักบิดหนึ่งเดียวของไทยในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก เก็บคะแนนสะสมได้เป็นสนามที่ 2 จาก 5 สนามในฤดูกาลนี้ หลังโชว์ฟอร์มเยี่ยมในรายการบริติช กรังด์ปรีซ์ ประเทศอังกฤษ ที่สนามซิลเวอร์สโตน จากการออกตัวกริดที่ 24 และจบการแข่งขันอันดับ 13 ได้สำเร็จ ตามหลังผู้ชนะ 10 วินาที
พร้อมกันนี้ "เจ้าฟีม" ที่เก็บเพิ่มเป็น 12 แต้มรั้งอันดับ 16 ในตารางแชมเปียนชิปรุ่นโมโตทู ยังสร้างผลงานในรถ HB4 หมายเลข 14 ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการทำเวลาต่อรอบดีที่สุดด้วยเวลา 2 นาที 10.283 วินาที เป็นอันดับที่ 3 จากนักบิด 40 คนที่ลงแข่งขันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยหลังทำผลงานเก็บแต้มได้อีกครั้งฟีมเปิดใจว่า "น่าเสียดายที่เราทำได้ไม่ดีนักในวันคลอลิฟาย เพราะในวันแข่งขันรถของผมสมบูรณ์แบบเอามากๆ ตั้งแต่การออกตัวที่แซงรถกลุ่มหน้าได้ชุดใหญ่ ก่อนจะไปลุ้นชิงอันดับ 9 ในช่วงท้าย แต่สุดท้ายการพลาดเล็กๆน้อยๆของผมทำให้เราจบอันดับ 13 และมีแต้มอีกครั้ง"
พร้อมกันนี้นักบิดหน้าตี๋ยังเอ่ยปากชมทีมงานแซคและทีมเทคนิคจากบิโมตา ที่ช่วยเซ็ตอัพรถได้อย่างลงตัวว่า "เวลาต่อรอบแสดงให็เห็นว่าเราเร็วสู้กับพวกหัวแถวได้ ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทำงานอย่างหนักกับรถคนนี้ และผมมั่นใจว่าหากเรารักษามาตรฐานได้ โอกาสลุ้นโพเดียมที่ผมฝันไว้อยู่ไม่ไกลแน่นอน"
สำหรับฟีมมีคิวนำรถลงแข่งขันสนามต่อไปซึ่งเป็นเรซที่ 6 ของฤดูกาล รายการดัตช์ ทีที 2010 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในวันเสาร์ที่ 26 มิถุนายนนี้
เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/
Monday, June 21, 2010
Stanley's 1933 TT winning Model 30 Norton
From: "The Motor Cycle, January 18th 1934, page 74-76". Click the pictures for a full page version. Contributed by Alf.
“คลินิกรถเครื่อง” แนะเคล็ดลับถนอมรถคู่ใจสิงห์นักบิด
บริษัท คลินิกรถเครื่อง จำกัด แนะเคล็ดลับเลือกซื้ออะไหล่และถนอมรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจด้วยตนเอง หวังลดสถิติอุบัติเหตุบนท้องถนน ผู้ขับขี่ได้ประหยัดค่าใช้จ่าย พร้อมเพิ่มอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
นายพิเชฐ ตังคไชยนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลินิกรถเครื่อง จำกัด บริษัทในเครือกลุ่มสิทธิผล ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทยที่ได้ รับการยอมรับและไว้วางใจจากผู้บริโภคและบริษัทผู้ผลิตรถมายาวนานกว่า 90 ปี เปิดเผยว่า “การผลิตรถ แต่ละคันจะต้องมีชิ้นส่วนอะไหล่ประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก การเลือกซื้ออะไหล่จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ควรเลือกซื้ออะไหล่ที่ดีมีคุณภาพ เพื่อลดความสิ้นเปลืองและเสริมสร้างสมรรถนะในการขับขี่ ช่วยยืดอายุการใช้งานให้ความปลอดภัยสูง และประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง
บริษัท คลินิกรถเครื่อง จำกัด เล็งเห็นว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ควรมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับสภาพรถของตนเองเป็น อย่างดี เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่มีสถิติสูงขึ้นเป็นลำดับ จึงขอแนะนำเคล็ดลับการสังเกตเลือกซื้ออะไหล่รถที่ได้คุณภาพ รวมถึงการดูแลรักษารถในเบื้องต้นด้วยตนเอง ดังนี้
1.ยางรถ เลือกขนาดและชนิดของยางให้เหมาะสมกับขนาดของรถ หมั่นตรวจเช็คความดันลมยางในให้อยู่ในค่ามาตรฐานในขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือ ก่อนการใช้งานเสมอ และตรวจลมยางใน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อเดินทางไกลควรสูบลมเพิ่ม 1-2 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในยางสูงและหลีกเลี่ยง การเบรกกะทันหัน หรือการออกตัวรุนแรง ซึ่งจะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็ว
2.โซ่และสเตอร์ ควรดูแลตรวจสอบความตึงหย่อนของโซ่ทุกๆ สัปดาห์ อีกทั้งไม่ควรตั้งโซ่ ให้ตึงเกินไป เพราะจะทำให้ทั้งโซ่และสเตอร์สึกหรอมาก การบำรุงรักษาโซ่ควรหล่อลื่นด้วยน้ำมันเกียร์เป็นประจำ กรณีที่มีคราบสกปรกมากควรใช้แปรงล้างด้วยน้ำมันโซล่าหรือเบนซิน โซ่และสเตอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 10,000 กิโลเมตรเมื่อถึงระยะเวลาเปลี่ยนควรเปลี่ยนทั้งชุด
3.หลอดไฟ ควรเลือกหลอดไฟของแท้ที่ได้มาตรฐานรับรองจากหน่วยงาน เช่น มาตรฐานยุโรป (ECE) มาตรฐานญี่ปุ่น (JIS) เป็นต้น ไม่ควรใช้หลอดไฟวัตต์สูงเกินกว่ามาตรฐานของรถแต่ละรุ่น อีกทั้งควรพกหลอดไฟสำรองติดรถไว้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุควร “เปิดไฟ ใส่หมวกกันน็อค” ทุกครั้งที่ขับขี่รถจักรยานยนต์
4.น้ำมันหล่อลื่น ควรเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นแบบ 4 จังหวะ หรือออโต้ลูป2 จังหวะ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานรับรองโดยสถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเลือกเบอร์ความหนืดให้เหมาะกับชนิดของเครื่องยนต์และสภาพการใช้งานของรถ สังเกตว่าน้ำมันไม่เป็นตะกอนหรือยางเหนียว รวมทั้งหมั่นตรวจเช็คให้ระดับอยู่ในเกณฑ์เพียงพอ หรือเปลี่ยนถ่ายตามระยะกำหนดการใช้งาน
5.หัวเทียน ควรเลือกเขี้ยวหัวเทียนที่มีรูปร่องตัวยู เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการสร้างประกายไฟสำหรับจุดระเบิด ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เกิดการเผาไหม้ที่หมดจด ปราศจากคราบเขม่าอันเป็นสาเหตุให้หัวเทียนบอด กินน้ำมัน เครื่องยนต์สะดุดและสตาร์ทติดยาก ควรหมั่นสังเกตตรวจดูสภาพหัวเทียน โดยสภาพปกติจะมีคราบสีเทาหรือสีน้ำตาลที่ปลายฉนวน
6.สายพานรถออโตเมติก ควรเลือกที่สามารถโค้งงอตัวได้ดีซึ่งช่วยระบายความร้อนและยืดอายุการใช้งาน เนื้อยางต้องทำจากยางสังเคราะห์ เพราะสามารถทนต่อแรงเสียดสี ช่วยให้ส่งกำลังได้ดี หลีกเลี่ยงสายพานไม่ให้ถูกน้ำ น้ำมัน สารเคมี สี หรือสารแปลกปลอมเพราะทำให้สายพานเกิดการ ลื่นไถลขณะใช้งานได้ นอกจากนี้ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพสายพานตามระยะทางที่ผู้ผลิตกำหนด
ที่มา http://www.thaipr.net/
นายพิเชฐ ตังคไชยนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลินิกรถเครื่อง จำกัด บริษัทในเครือกลุ่มสิทธิผล ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทยที่ได้ รับการยอมรับและไว้วางใจจากผู้บริโภคและบริษัทผู้ผลิตรถมายาวนานกว่า 90 ปี เปิดเผยว่า “การผลิตรถ แต่ละคันจะต้องมีชิ้นส่วนอะไหล่ประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก การเลือกซื้ออะไหล่จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ควรเลือกซื้ออะไหล่ที่ดีมีคุณภาพ เพื่อลดความสิ้นเปลืองและเสริมสร้างสมรรถนะในการขับขี่ ช่วยยืดอายุการใช้งานให้ความปลอดภัยสูง และประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง
บริษัท คลินิกรถเครื่อง จำกัด เล็งเห็นว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ควรมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับสภาพรถของตนเองเป็น อย่างดี เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่มีสถิติสูงขึ้นเป็นลำดับ จึงขอแนะนำเคล็ดลับการสังเกตเลือกซื้ออะไหล่รถที่ได้คุณภาพ รวมถึงการดูแลรักษารถในเบื้องต้นด้วยตนเอง ดังนี้
1.ยางรถ เลือกขนาดและชนิดของยางให้เหมาะสมกับขนาดของรถ หมั่นตรวจเช็คความดันลมยางในให้อยู่ในค่ามาตรฐานในขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือ ก่อนการใช้งานเสมอ และตรวจลมยางใน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เมื่อเดินทางไกลควรสูบลมเพิ่ม 1-2 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักมากเกินไป หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนในยางสูงและหลีกเลี่ยง การเบรกกะทันหัน หรือการออกตัวรุนแรง ซึ่งจะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็ว
2.โซ่และสเตอร์ ควรดูแลตรวจสอบความตึงหย่อนของโซ่ทุกๆ สัปดาห์ อีกทั้งไม่ควรตั้งโซ่ ให้ตึงเกินไป เพราะจะทำให้ทั้งโซ่และสเตอร์สึกหรอมาก การบำรุงรักษาโซ่ควรหล่อลื่นด้วยน้ำมันเกียร์เป็นประจำ กรณีที่มีคราบสกปรกมากควรใช้แปรงล้างด้วยน้ำมันโซล่าหรือเบนซิน โซ่และสเตอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 10,000 กิโลเมตรเมื่อถึงระยะเวลาเปลี่ยนควรเปลี่ยนทั้งชุด
3.หลอดไฟ ควรเลือกหลอดไฟของแท้ที่ได้มาตรฐานรับรองจากหน่วยงาน เช่น มาตรฐานยุโรป (ECE) มาตรฐานญี่ปุ่น (JIS) เป็นต้น ไม่ควรใช้หลอดไฟวัตต์สูงเกินกว่ามาตรฐานของรถแต่ละรุ่น อีกทั้งควรพกหลอดไฟสำรองติดรถไว้เสมอ โดยเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องเดินทางไกลเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุควร “เปิดไฟ ใส่หมวกกันน็อค” ทุกครั้งที่ขับขี่รถจักรยานยนต์
4.น้ำมันหล่อลื่น ควรเลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นแบบ 4 จังหวะ หรือออโต้ลูป2 จังหวะ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานรับรองโดยสถาบันหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเลือกเบอร์ความหนืดให้เหมาะกับชนิดของเครื่องยนต์และสภาพการใช้งานของรถ สังเกตว่าน้ำมันไม่เป็นตะกอนหรือยางเหนียว รวมทั้งหมั่นตรวจเช็คให้ระดับอยู่ในเกณฑ์เพียงพอ หรือเปลี่ยนถ่ายตามระยะกำหนดการใช้งาน
5.หัวเทียน ควรเลือกเขี้ยวหัวเทียนที่มีรูปร่องตัวยู เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการสร้างประกายไฟสำหรับจุดระเบิด ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เกิดการเผาไหม้ที่หมดจด ปราศจากคราบเขม่าอันเป็นสาเหตุให้หัวเทียนบอด กินน้ำมัน เครื่องยนต์สะดุดและสตาร์ทติดยาก ควรหมั่นสังเกตตรวจดูสภาพหัวเทียน โดยสภาพปกติจะมีคราบสีเทาหรือสีน้ำตาลที่ปลายฉนวน
6.สายพานรถออโตเมติก ควรเลือกที่สามารถโค้งงอตัวได้ดีซึ่งช่วยระบายความร้อนและยืดอายุการใช้งาน เนื้อยางต้องทำจากยางสังเคราะห์ เพราะสามารถทนต่อแรงเสียดสี ช่วยให้ส่งกำลังได้ดี หลีกเลี่ยงสายพานไม่ให้ถูกน้ำ น้ำมัน สารเคมี สี หรือสารแปลกปลอมเพราะทำให้สายพานเกิดการ ลื่นไถลขณะใช้งานได้ นอกจากนี้ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพสายพานตามระยะทางที่ผู้ผลิตกำหนด
ที่มา http://www.thaipr.net/
Sunday, June 20, 2010
1931 Model 20 crankcases wanted
Anyone who has a spare set of cases or an engine for sale can contact John and I'll forward your message to Albert.
Subscribe to:
Posts (Atom)