Saturday, July 31, 2010

Cylinder studs & spigots

Annoyingly, the Model 30 cylinder-head bought cheaply on Ebay did not fit Rob's CS1; the holes seemed to be in the wrong position. Simon explains:


"On the Moore CS1 the centers of the cylinder studs were 3 1/8 inches. This dimension was retained for the early Carroll engines but not for long (date unspecified). It then changed to 3 1/4 inches centres and the reason for the change was so that the much wider spigot on top of the barrel, which provides a vastly improved seal where head meets barrel, could be employed. The spigot on all of the vintage engines and the Moore CS1s is a very small and shallow and it acts only as a locator for the head. It seems as if the standard OHV and SV ones were retained at 3 1/8 inches for many years after and the OHC ones differed"

The photo shows a barrel fitted to a 1932 CS1 engine with the 'big spigot' and 3 1/4 inch cylinder stud centers. 

Thursday, July 29, 2010

ฮอนด้าชูไทยผุดบิ๊กโปรเจกท์

เจ้าตลาดสองล้อ “ฮอนด้า” ยกบทบาทไทยเป็นฐานพัฒนาและผลิตรถจักรยานยนต์คุณภาพสูง พร้อมเทคโนโลยีทันสมัย รองรับตลาดภายในและส่งออกทั่วโลก หลังประสบความสำเร็จกับเครื่องยนต์หัวฉีด PGM-FI และเปิดตัวรถรุ่น “พีซีเอ็กซ์” ล่าสุดลุยโครงการยักษ์ ทุ่มลงทุนพัฒนาและขึ้นไลน์ผลิตรถสปอร์ตโมเดลใหม่ เปิดตัวปลายปีนี้ และเชื่อมั่นตลาดฟื้นตัวแล้ว คาดภาพรวมยอดขายปีนี้พุ่ง 1.79 ล้านคัน เติบโต 16% ฮอนด้ากวาดไป 1.22 ล้านคัน

นายจิอากิ คาโต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในไทย เปิดเผยว่า ทุกๆปีฮอนด้าได้มีการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง แต่การดำเนินงานของฐานผลิตในภูมิภาคเอเชียได้แยกบทบาทชัดเจน โดยอินเดียและอินโดนีเซียจะขยายการผลิตเน้นเชิงปริมาณ ขณะที่ฐานการผลิตในไทยจะเป็นเรื่องของการพัฒนาและผลิตรถจักรยานยนต์คุณภาพสูง หรือเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงใหม่ๆ

“ฮอนด้าเป็นผู้ริเริ่มนำเทคโนโลยีหัวฉีดมาใช้ในไทยเป็นรายแรก และล่าสุดได้เปลี่ยนทุกรุ่นเป็นรถหัวฉีด PGM-FI ทั้งหมด และเมื่อปลายปีที่ผ่านมาก็ได้มีการเปิดตัวรุ่นพีซีเอ็กซ์(PCX) รถโมเดลใหม่ที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย เพื่อรองรับการทำตลาดในประเทศและส่งออกทั่วโลกเป็นครั้งแรก และปลายปีนี้ก็จะมีการแนะนำรถจักรยานยนต์สปอร์ตโมเดลใหม่ ซึ่งเป็นอีกโครงการใหญ่ในไทย ที่ลงทุนพัฒนาและผลิตขึ้นใหม่ เพื่อรองรับตลาดในประเทศและส่งออกทั่วโลกเช่นเดียวกัน”

โดยโครงการผลิตรถสปอร์ตโมเดลใหม่ ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดและมูลค่าการลงทุนในขณะนี้ได้ แต่จะเป็นโครงการที่มีการลงทุน และมีความสำคัญใกล้เคียงหรือมากกว่า การลงทุนผลิตรถรุ่นพีซีเอ็กซ์แน่นอน ซึ่งการดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปตามแผน กำหนดแนะนำสู่ตลาดไทยประมาณช่วงเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ส่วนการส่งออกทั่วโลกน่าจะเริ่มหลังจากนั้น เช่นเดียวกับรุ่นพีซีเอ็กซ์ที่แนะนำสู่ตลาด ช่วงเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา และส่งออกเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกรุ่นพีซีเอ็กซ์มากกว่าตลาดในประเทศแล้ว

นายคาโตเปิดเผยว่า นอกจากนี้ฮอนด้ายังเตรียมพิจารณา แผนการทำตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ หลังจากต้องเลื่อนแผนการดำเนินงานมาในช่วง 1-2 ที่ผ่านมา จากปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว แต่เมื่อสภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ฮอนด้าจึงเตรียมที่จะนำกลับมาดำเนินการใหม่ ซึ่งคาดว่าน่าจะชัดเจนได้ในปี 2554 ที่จะถึงนี้

“การทำตลาดบิ๊กไบค์ไม่ใช่เพียงนำรถเข้ามาขาย และมีโชว์รูมรองรับเท่านั้น แต่บิ๊กไบค์เป็นรถที่มีเทคโนโลยีสูง จึงจำเป็นจะต้องปรับแต่งให้สอดคล้องกับสภาพในไทย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ให้รองรับน้ำมันในไทย เรื่องของเสียง และมลพิษไอเสีย รวมถึงแสงสว่างของไฟหน้าและท้าย เป็นต้น เหตุนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับบิ๊กไบค์ที่นำเข้ามาทำตลาด ฮอนด้าในไทยจึงต้องลงทุนมากกว่า 10 ล้านบาท ตั้งศูนย์พัฒนาและปรับแต่งบิ๊กไบค์ขึ้นในประเทศญี่ปุ่น เพื่อรองรับบิ๊กไบค์ที่จะนำเข้ามาทำตลาดในไทยโดยเฉพาะ”

นายคาโตกล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 มีตัวเลขยอดจดทะเบียนทุกยี่ห้อรวมกว่า 9.33 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 25% โดยฮอนด้ามียอดขายกว่า 6.41 แสนคัน เพิ่มขึ้น 30% และครองส่วนแบ่งทางการตลาด 69%

“คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดจะกลับมาขยายตัวสู่สภาวะปกติ ทำให้ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ไทยปีนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.79 ล้านคัน หรือเทียบกับปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 16% โดยฮอนด้าคาดว่าจะมียอดขายตลอดทั้งปี 1.22 ล้านคัน ขยายตัว 20%” นายคาโตกล่าว

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th

Wednesday, July 28, 2010

Frith and Harris


I guess these are Freddy Frith, on a Model 40 International and Ron Harris on a New Imperial; winners of respectively the Junior and Lightweight class in the 1935 Isle of Man GP.

Sunday, July 25, 2010

Speedway side-car outfit

By Simon

Alastair Heptonstall has kindly given permission for this splendid photo of his grandfather to appear on the blog. He tells me that Eric Heptonstall lived in the Liverpool area and was quite succesful with the outfit in Amateur speedway races. I have not researched to what extent side-car events were held in the early days of speedway but I am fairly sure they did not catch on here as much as in Australia, for instance. I suspect that the photo dates from the early thirties bearing in mind that the sport did not hit our shores until 1928. The bike looks to be a 1926-ish Model 19 - note the steel strip bracing on the forks, quick action twist grip, larger capacity tank with alloy filler cap - and somewhat bald front tyre, perhaps no disadvantage for drifting round corners!

The 1933 TT races

Photos by Howard, research by Simon


The winners of the 1933 Junior TT: Jimmy Guthrie (who came 3rd, number 20) Stanley Woods (the winner, number 16, at 78.08 mph) Tim Hunt (2nd, number 30). Bill Mansell is behind Woods, at his right shoulder. At the far right of the photo is Arthur Carroll having a celebratory drink! At Arthur's right shoulder is a well-known Norton mechanic, Frank Sharratt.


The winners of the 1933 Senior TT: Tim Hunt (3rd, number 25) Stanley Woods (the winner, number 29 at 81.04 mph) and Jimmie Simpson (2nd, number 15). That's Arthur Carroll again at Woods' left shoulder. 

Saturday, July 24, 2010

Rob's 1932 Model 40 Norton

Rob has got himself another Norton and this is the story that goes with it:


"This International Norton was advertised recently on PreWarCar and when I looked at the photos I immediately recognized the motorcycle. This Norton once belonged to an old friend of mine, Ko Konijn, who died approximately 12 years ago at the age of 62. As far as I can remember from what he told me, Ko started collecting motorcycles at a young age, in the 1950s and his special interest was Norton... His house was like a museum and there were Nortons all over the place! There were Nortons in the hallway, in the living room, in the kitchen and in his bedroom... Ko had it all, but very few people were ever allowed to see the bikes and fortunately I was one of them. Unfortunately, Ko's health prevented him from riding his beloved motorcycles but he did take very good care of them. After his death his bikes were inherited by his family and this 1932 Model 40 International is one of the few bikes to leave Ko's collection. 


Contact was made with the vendor, a friendly chap in Belgium and John and I took the car and trailer, and a stack of cash and met with the vendor and his family on a parking lot in Antwerp...tough negotiations followed but inevitably the Model 40 came back to Holland.


The Norton looks like it has been used for racing in the first decades of it's life. Some parts have been repainted and the motorcycle bears the scars of competition. The front forks may have been changed at some stage and the four-speed Sturmey Archer racing gearbox as fitted started life in a 1931 Model 30. The Norton is still on obsolete Englebert tyres front and rear. This looks like a motorcycle that has seen some proper use but that has not been restored. It has probably been in storage for more than 50 years...exactly like you would like to find them. And added to the surprise, it starts and runs very well! Regards, Rob"

Friday, July 23, 2010

"ซูซูกิ"สางปัญหาพื้นที่ขายทับซ้อน เปิดรับตัวแทนใหม่หลังเทกโอเวอร์"พรประภา"จบ

"ซูซูกิ" เตรียมเดินหน้าทำตลาดมอเตอร์ไซค์เต็มสูบ หลังจากซื้อหุ้นคืนจากเอส.พี.ซูซูกิ คาดลุยสะสางปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ส่วนดีลเลอร์ 200 แห่งยังไม่ชัดเจน เตรียมให้สมัครเข้าเป็นดีลเลอร์ใหม่ ขณะที่ "ฮอนด้า-ยามาฮ่า" ลั่น แม้บริษัทแม่เข้ามาทำตลาด เชื่อไม่กระเทือน คาดปีนี้ตลาดโตแตะระดับ 1.78 ล้านคัน

ผลพวงจากการที่กลุ่มพรประภาถอดใจเลิกขายมอเตอร์ไซค์ซูซูกิ ปล่อยให้ญี่ปุ่น เข้ามาลุยเมืองไทยเอง โดยแจ้งตลาด หลักทรัพย์ฯขอเพิกถอนหุ้น เอส.พี.ซูซูกิ เนื่องจากบริษัท ซูซูกิมอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ของญี่ปุ่น มีนโยบายจะทำธุรกิจจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิในประเทศไทยด้วยตัวเอง และได้ทำคำเสนอซื้อหุ้นบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด ที่บริษัทถืออยู่ทั้งหมด พร้อมยกเลิกสัญญา Distributorship Agreement หรือการเป็นตัวแทนจำหน่ายทั้งหมด

นายเลิศศักดิ์ นววิมาน ผู้จัดการฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิในประเทศไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงกรณีการเปลี่ยน แปลงที่เกิดขึ้นว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะส่งผลทำให้สัดส่วนการถือหุ้น โดยบริษัท บ้านซูซูกิ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ดูแลพื้นที่ภาคใต้ จะมีหุ้นอยู่ 5.56% เท่าเดิม ขณะที่หุ้นที่เหลือทั้งหมดก็จะถือโดยซูซูกิประเทศญี่ปุ่น

จากเดิม บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นอยู่ที่ 42.38% แต่หลังจากเอส.พี.ฯ ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดคืนกับบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น และขอยุติบทบาทการเป็นดิสทริบิวเตอร์ของซูซูกิลงตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ปัจจุบัน ซูซูกิมีโชว์รูม

ทั่วประเทศ 600 กว่าแห่ง ซึ่งในจำนวนนี้เป็นของบริษัท ไทยซูซูกิ จำกัด, บริษัท เอส.พี. ซูซูกิ จำกัด และบริษัท บ้านซูซูกิ จำกัด

โดยก่อนหน้านี้ บริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด ได้มีการประกาศแต่งตั้งดีลเลอร์ไปแล้ว 53 แห่ง และล่าสุด จะมีการพิจารณารับเพิ่มเป็น 60 แห่งทั่วประเทศ ยกเว้นเพียงแต่ในเขตพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งดูแลโดยบริษัท บ้านซูซูกิ จำกัด เท่านั้น ขณะที่เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของซูซูกิ ในปีนี้บริษัทยังคงยืนยันเป้าหมายเดิมที่ 1 แสนคัน ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายบ้าง แต่เป็นไปได้ทั้งเชิงบวกและลบ ดังนั้น บริษัทจึงขอยืนยันเป้าหมายเดิมก่อน

แหล่งข่าวจากบริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการตัดสินใจครั้งนี้ว่า บริษัทได้ตัดสินใจแจ้งบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ฯไปแล้วเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างครั้งใหญ่ หลังจากที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายมายาวนานกว่า 40 ปี โดยนอกจากการยกเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว ยังจะมีการขายหุ้น 42.38% คืนให้กับบริษัท ซูซูกิมอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และบริษัทจะไม่มีความเกี่ยวข้องต่อกับธุรกิจดังกล่าวทั้งหมด

ส่วนดีลเลอร์ที่บริษัทมีอยู่ประมาณ 200 แห่งทั่วประเทศนั้น คาดว่าบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด จะเปิดโอกาสให้สมัครเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิใหม่ ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของ ดีลเลอร์

"การตัดสินใจยุติบทบาทของเราครั้งนี้ ถือเป็นการจากลากันด้วยดี เพราะที่ผ่านมา ไทยซูซูกิก็มีการตั้งตัวแทนจำหน่ายของตัวเองในพื้นที่ 62 จังหวัดที่เราดูแลอยู่ตั้งแต่เมื่อปี 2550 แล้ว เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของซูซูกิต่อจากนี้ ส่วนการบริหารจัดการรถจักรยานยนต์ในสต๊อกของเรานั้น เท่าที่ได้มีการ หารือกับทางไทยซูซูกิฯ คาดว่าทางซูซูกิจะเป็นผู้รับผิดชอบและซื้อคืนทั้งหมด" แหล่งข่าวกล่าว

นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า โดยรวมของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ น่าจะช่วยให้ซูซูกิมีการพัฒนาระบบเครือข่ายการจำหน่ายได้ดีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา อาจจะมีบางช่องทาง และบางพื้นที่มีความซ้ำซ้อน ซึ่งหากบริษัทแม่เข้ามาดูแล และควบคุมอย่างเต็มที่ ก็น่าจะทำให้ตรงนี้ดีขึ้น ส่วนจะทำให้ตลาดรถจักรยานยนต์มีสภาพการแข่งขันที่รุนแรงหรือไม่นั้น ถือว่าปัจจุบันตลาดมีการแข่งขันที่รุนแรงมาโดยตลอด และสินค้า รวมทั้งพื้นที่การจำหน่ายของซูซูกิก็ไม่ได้ด้อยกว่ายี่ห้ออื่น ๆ

"ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าจับตา เพราะจุดประสงค์ใหญ่ของการเข้ามาของซูซูกิครั้งนี้ น่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาเครือข่ายให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว บริษัทแม่คงไม่ทุ่มเงินลงทุนขนาดนี้ ส่วนเรื่องสินค้า และพื้นที่การขาย ถ้ามีการพัฒนาให้เหมือนคู่แข่ง ก็เชื่อว่าน่าจับตาทีเดียว" นายธีระพัฒน์กล่าว

สำหรับตลาดรถจักรยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก มีอัตราการเติบโตสูงถึง 25% และเอ.พี.ฮอนด้ามีอัตราการเติบโตที่ 30% ซึ่งถือเป็นยอดที่น่าพอใจ ส่วนครึ่งปีหลัง หากสถานการณ์ยังคงดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าภาคการเกษตร คาดว่าตลาดโดยรวมน่าจะอยู่ในระดับ 1.78 ล้านคัน สูงขึ้นจากเป้าเดิมที่ 1.7 ล้านคัน และฮอนด้าจะมียอดขายเพิ่มเป็น 1.14 ล้านคันอย่างแน่นอน

เช่นเดียวกับนายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับซูซูกิ ในเชิงตลาดรวม คงไม่ แตกต่างกันมากนัก เนื่องจากที่ผ่านมา ซูซูกิก็ได้มีความพยายามทำตลาดอย่างเต็มที่ แต่ความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะได้เห็นครั้งนี้ คือโครงสร้างการบริหารมากกว่า ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับซูซูกิ เพราะหากเทียบกับค่ายรถจักรยานยนต์อื่น ๆ ที่บริษัทแม่เข้ามาดูแล 100%

เพราะเดิม การบริหารจัดการของ "ซูซูกิ" นั้นมีความหลากหลาย อาจจะส่งผลทำให้การบริหารจัดการไม่ชัดเจน แต่จากการตัดสินใจของบริษัทแม่เข้ามาทำตลาดนั้น เชื่อว่าจะส่งผลดี แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับไทยซูซูกิ ว่าจะทำทุกอย่างได้มีมากน้อยเพียงใดด้วย

สำหรับยามาฮ่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการทำตลาดมากนัก เพราะลำพังเพียงแค่ฮอนด้าและยามาฮ่า ก็มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 95% แล้ว ดังนั้น การปรับเปลี่ยนของซูซูกิครั้งนี้ น่าจะทำให้ตลาดมีความคึกคักมากขึ้น ในแง่ของเป้าหมายการจำหน่ายของปีนี้ เดิมยามาฮ่าตั้งเป้ามียอดขายที่ 4.8 แสนคัน แต่ขณะนี้ได้ปรับเพิ่มเป้าเป็น 5.2 แสนคันขึ้นไปแล้ว เนื่องจากตลาดโดยรวมมีอัตราการเติบโตค่อนข้างมาก

สำหรับบริษัท เอส.พี.อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท เอส.พี. ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เสนอซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุน ในราคาเสนอซื้อหุ้นสามัญ 16.20 บาทต่อหุ้น และมีบริษัท เคพีเอ็มจี ที่ปรึกษาธุรกิจ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของผู้เสนอซื้อ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ

เพิ่มเติม http://www.prachachat.net/

"ยามาฮ่า" ใช้รถลายใหม่บิดยูเอสฯ

เฟียต-ยามาฮ่า ทีมแข่งดังแห่งศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรุ่นโมโตจีพี ตกแต่งลวลลายรถ YZR-M1ของวาเลนติโน รอสซี และฮอร์เก ลอเรนโซ เป็นการเฉพาะกิจ สำหรับการแข่งขันรายการยูเอส กรังด์ปรีซ์ ที่สนามลากูนา เซกา สหรัฐอเมริกา ในสุดสัปดาห์นี้

ทีมแข่งโรงงานจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวลวดลายรถแข่งที่รอสซี และลอเรนโซ จะใช้ทำศึกที่สนามลากูนา เซกา เซอร์กิต ด้วยการตกแต่งลวดลายที่เป็นการฉลองการนำเข้ารถ "เฟียต 500" รถยนต์ขนาดเล็กจากประเทศอิตาลี ที่จะเข้าไปทำตลาดอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา

โดยลวดลายดังกล่าวเป็นการนำใบหน้าแฟนคลับทีมเฟียต-ยามาฮ่า หลายร้อยคนมาตกแต่งเป็นลวลลายบนรถรถ YZR-M1 ทั้ง 2 คัน พร้อมด้วยตัวเลข 500 ซึ่งเป็นลายธงชาติสหรัฐอเมริกา อันเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรายการดังกล่าว

โดยมีรายงานว่าเพียง 30 นาทีที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเฟียต-ยามาฮ่า เปิดให้แฟนๆได้ส่งรูปใบหน้าตัวเองเข้ามาเพื่อนำมารวมเป็นลวดลายบนรถแข่ง แฟนคลับจากทั่วโลกหลายพันก็ต่างส่งรูปของตัวเองเข้ามาจนเว็บไซต์ต้องปิดรับภายในเวลาอันรวดเร็ว

สำหรับศึกมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลกรายการยูเอส กรังด์ปรีซ์ ที่สนามลากูนา เซกา จะเป็นสนามเดียวของเวิลด์ จีพี 2010 ที่แข่งขันเฉพาะรุ่นโมโตจีพี โดยรอบชิงชนะเลิศจะมีขึ้นในคืนวันอาทิตย์ที่ 25 ก.ค.นี้ ตามเวลาประเทศไทย

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/

"ภราดร" ชื่อขายได้ 11 บริษัทหนุนทีมซิ่งสองล้อ

ความโด่งดังของ ภราดร ศรีชาพันธุ์ อดีตนักเทนนิสมือ 9 ของโลกขวัญใจชาวไทย ยังไม่ลดน้อยถอยลง เมื่อล่าสุดมีสินค้าน้อยใหญ่ 11 รายการแห่สนับสนุนทีมมอเตอร์ไซค์ซูเปอร์ไบค์ "เอลฟ์ สมาร์ท สปอร์ต เรซซิง ทีม" ซึ่งมี "ซูเปอร์บอล" เป็นสิงห์นักบิด

หลังประกาศแขวนแร็กเกตเทนนิสเต็มตัว เมื่อกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ภราดร วัย 31 ปี เดินตามความฝันเปิดตัวเข้าร่วมทีมซูเปอร์ไบค์ไทย "เอลฟ์ สมาร์ท สปอร์ต เรซซิง ทีม" พร้อมกับ "ซูเปอร์เบิร์ด" แสน เชยศักดิ์ เพื่อลงแข่งขันรายการในไทยปี 2010 ทั้งหมด 7 รายการ

ทีมข่าว MGR Sport ทำการสอบถามข้อมูลไปที่ที "เอลฟ์ สมาร์ท สปอร์ต เรซซิง ทีม" พบว่ามีสปอนเซอร์เข้ามาสนับสนุนทีมลงแข่งขันในปี 2010 ถึง 11 รายการ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากชื่อเสียงของ "ซูเปอร์บอล" หนึ่งในนักบิดของทีม ซึ่งประชาชนชาวไทยรวมถึงทั้งโลกรู้จักเป็นอย่างดี

โดย สปอนเซอร์ทีมแข่งประกอบด้วย 1.น้ำมันเครื่อง เอลฟ์ และ 2. สิทธิผล กรุ๊ป ในฐานะผู้สนับสนุนหลัก ตามมาด้วย สมาร์ท สปอร์ต โปรโมชัน จำกัด บริษัทในเครือของ สิทธิผล

ด้านของผู้สนับสนุนในส่วนของรถมอเตอร์ไซค์หมายเลข 78 ของ แสน และ 79 ของ ภราดร ประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ ฮอนดา CBR 1000 RR ปี 2009 เครื่องยนต์ 999 ซีซี ตามมาด้วย ยางรถจักรยานยนต์ ไออาร์ซี และโซ่รถจักรยานยนต์ ดีไดดี รวมถึงหัวเทียนจาก เด็นโซ และ หมวกกันน๊อต "เรียว" ( Real)

นอกจากนี้ยังมี หลอดไฟและโคมไฟ สแตนเลย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ตราสิงห์และอาหารเสริมสำหรับผู้ชาย แมจิก ไอริส (Majic Iris) ของ "เจ้าบอล" เอง ซึ่งจะติดโลโกไว้ที่ตัวรถด้วย

นาย แวงซองต์ มินาร์ด กรรมการผู้จัดการบริษัท โททัล ออย ประเทศไทย จำกัด เจ้าของลิขสิทธิ์ ผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเอลฟ์ กล่าวถึงการหลั่งไหลเข้ามาของสปอนเซอร์ว่า "แน่นอนว่า ภราดร เป็นที่รู้จักของคนทั้งโลก และการที่ได้เขาเข้ามาเป็นนักบิดภายในทีมย่อมส่งผลดีต่อทีมของเราเป็นอย่างยิ่ง เชื่อว่าถ้าผลงานในปีนี้พอใช้ได้ ปีหน้าทีมของเราจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องแน่นอน"

สำหรับ ภราดร พร้อมด้วยทีม "เอลฟ์ สมาร์ท สปอร์ต เรซซิง ทีม" เตรียมลงแข่งขัน ไทยแลนด์ กรังปรีซ์ โปรซีรีส์ สนามที่ 2 สุดสัปดาห์นี้ วันที่ 24-25 ก.ค. ณ สนาม พีระเซอร์กิต พัทยา จังหวัด ชลบุรี ต่อไป

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th/

Thursday, July 22, 2010

Double knockers in 1937...or not?

From: "Motorcycle Sport, July 1983, page 305-306". An amusing story by "E.U." Click the pictures for a full-page version. Contributed by Alf.



Wednesday, July 21, 2010

1927 Model 25 Norton


This Model 25 was photographed by Martin at the famous Hesket Newmarket rally in Cumbria some years ago. It was supplied in May 1927 to a chap in London and from new had the Binks carburettor and standard CS gearbox. The present crankcases have no number - perhaps the result of a blow-up at some time. Note the split timing chest, heavy duty TT Webbs and Enfield front brake. The short brake arm on the rear brake lever spindle is upside down. The present owner informed us that when he and his father found it, it was in a hen house and covered in chicken shit!!...and there is that little fellow again on the front mudguard!

Tuesday, July 20, 2010

Pa's 1932 Model 20 Norton


An email from Pa Houlihan in Ireland: "I bought the Model 20 over the phone and collected it at Stafford show in 1995 I think. The picture shows what I came home with. I was lucky enough to find a brass carb at the show that suited. The engine number and frame number are both 1932 but very little else is. The engine got new crank bearings, rings, valve springs and an oil pump. The piston is on standard bore. The rest I salvaged what I could and not having a big budget I assembled what I had. I ended up with is a bike that goes very well and is great fun to ride. I took it to the Inchageelagh Rally this May and did 200 miles without trouble. The second picture is at the Irish National Rally in 1997."

1931 CS1 Norton


This CS1 has been advertised on Ebay for a while now and what follows is the description by the seller: "According to the Works Records this Norton left the factory fitted with a close ratio gearbox, racing magneto and racing carb, all of which are still there.When I bought this machine 10 years ago it was fitted with a Honda tank and Suzuki wheels. I have found and fitted the hand-made steel tank (which needs major welding) that was fabricated by the man who raced this bike with some prominence in the 1930s. I have found and fitted an original oil tank. I have fitted a correct front wheel and a period correct rear. Also fitted are a correct Andree steering damper and solid control levers. The engine and gearbox appear to be in excellent condition. Bidders should be aware that this bike was raced continuously from it’s delivery date up to the ‘60s so deviation from standard spec are to be expected. I have a lot of pictures of this bike as it was raced at Daytona, Langhorne and Savanaah in 1935, already a 4 year old machine it lapped Langhorne at over 83 mph beating factory Indians amongst other current race bikes."


A very nice Norton and an appealing story but there are a few issues; the page in the Works Records (below) where the entry for this CS1 should be has been damaged and while the gearbox (as fitted to this CS1) is listed, the numbers for the frame and engine are missing. While the framenumber as used by this CS1 could be correct, it is also a bit high to fit comfortably within the sequence as in the records. Further, as indicated by the vendor, many parts have been replaced since the Norton left the factory.


Is this a problem? Not for the Norton, it will be a very fine bike once it has had the attention that it deserves. The problem is that the story comes with a price tag and I would be worried about finding a next owner willing to pay the extra money for what's basically a few black and white photographs and a torn piece of paper.

Monday, July 19, 2010

บ.แม่ญี่ปุ่นโดดเทคฯ เอสพีซูซูกิจาก"พรประภา" ขอทำตลาดเอง เพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์

กลุ่มพรประภาถอดใจเลิกขายมอเตอร์ไซค์ซูซูกิ หลังญี่ปุ่นเข้ามาลุยเมืองไทยเอง แจ้งตลาดขอเพิกถอนหุ้นเอส.พี.ซูซูกิ พร้อมตั้งโต๊ะรับซื้อที่หุ้นละ 16.20 บาท ดันราคาหุ้นกระฉูดพรวดเดียว 5 บาท หรือเพิ่มขึ้น 50% หลังปลดเอสพี มาปิดที่ 15.80 บาท

นายสถิตย์พงษ์ พรประภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอส.พี.ซูซูกิ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้ขอเพิกถอนหุ้นของบริษัทออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เนื่องจากทางบริษัท ซูซูกิมอเตอร์ คอร์ปอเรชั่นของญี่ปุ่น มีนโยบายจะทำธุรกิจจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิในประเทศไทยด้วยตนเอง และได้ทำคำเสนอซื้อหุ้นบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด ที่บริษัทถืออยู่ทั้งหมด ซึ่งบริษัทได้พิจารณาภาพรวมแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจรถจักรยานยนต์ประกอบกับอัตราการแข่งขันของธุรกิจดังกล่าวภายในประเทศ รวมถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งภาคเศรษฐกิจและการเมืองแล้วเห็นว่า หากบริษัทประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ต่อไป อาจทำให้บริษัทประสบภาวะขาดทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริษัทได้

ทั้งนี้ บริษัท ซูซูกิมอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ยังเสนอให้บริษัทยกเลิกสัญญา Distributorship Agreement ที่บริษัทได้ทำไว้กับบริษัท ไทยซูซูกิมอเตอร์ จำกัด ซึ่งหากมีการยกเลิกสัญญาดังกล่าวบริษัทก็จะต้องยกเลิกสัญญา Dealership Agreements ที่บริษัทได้ทำกับตัวแทนจำหน่ายรายต่างๆ ไปในคราวเดียวกัน ขณะที่บริษัทก็เจรจาขายสินค้าคงเหลือคืนให้กับไทยซูซูกิฯ นอกจากนี้ บริษัทต้องขายหุ้น บริษัท สินพล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ซูซูกิ เนื่องจากบริษัทไม่ได้ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ต่อไป

"การทำรายการทั้งหมด เข้าข่ายเป็นการจำหน่ายทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจตามปกติของบริษัทไปเกือบทั้งหมด เป็นผลให้บริษัทมีทรัพย์สินทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดในรูปของเงินสดหรือหลักทรัพย์ระยะสั้น และบริษัทมีความประสงค์ที่จะหยุดประกอบธุรกิจการจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และบริษัทไม่มีแผนการลงทุนและการดำเนินงานในอนาคต จึงขอเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากตลาดหลักทรัพย์ คาดว่ากระบวนการซื้อขายหุ้นจะแล้วเสร็จในสิ้นเดือนตุลาคมนี้"

นายสถิตย์พงษ์กล่าวว่า ในการขายหุ้นไทยซูซูกิที่บริษัทถืออยู่ 5,088 หุ้น มูลค่าพาร์หุ้นละ 10,000 บาท คิดเป็น 18.78% มีมูลค่ารวม 699.91 ล้านบาท รวมเงินปันผลที่บริษัทจะได้รับก่อนการขายหุ้นมูลค่า 804.71 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีมูลค่าการขายสินค้าคงเหลือคืนให้บริษัทไทยซูซูกิ 82 ล้านบาท การขายหุ้นบริษัทสินพล อีก 24 ล้านบาท
หุ้นเอสพีซูซูกิ จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 158 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท รวม 790 ล้านบาท

โดยช่วงเช้าวันที่ 16 กรกฎาคม บริษัทได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์เพื่อขอหยุดพักการซื้อขายเป็นการชั่วคราว หรือขึ้นเครื่องหมายเอสพี เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุน ซึ่งอาจมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อฐานะของบริษัท และหลังจากชี้แจงข้อมูลว่า บริษัท เอส.พี. อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะเสนอซื้อหุ้นสามัญของบริษัทที่ราคาหุ้นละ 16.20 บาท และเอสพีซูซูกิได้ขอเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์ ตลาดจึงได้ปลดเอสพีตั้งแต่ช่วงบ่าย ซึ่งราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นอย่างแรง โดยมาปิดที่ 15.80 บาท เพิ่มขึ้นถึง 5.30 บาท หรือเพิ่มขึ้น 50.48%

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ณ วันที่ 11 มีนาคม 2553 ประกอบด้วยบริษัท ซี.เอ.อาร์.เอส จำกัด 30.38% บริษัท เอส.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล 30.38% นางสาวปฤณ พรประภา 5.39% นางสาวลดาวัลย์ อัศวะประภา 3.62% บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ 2.75% และนายรักสนิท พรประภา 2.66%

เพิ่มเติม http://www.matichon.co.th/

เอลฟ์ผุด'ELF MOTOZONE'ปั้นยอด20%

ตลาดน้ำมันเครื่องแข่งเดือด ค่ายเอลฟ์เปิดช็อปรูปแบบใหม่ "ELF MOTOZONE"หวังสร้างแบรนด์อะแวร์เนสกับลูกค้า พร้อมเดินหน้ากิจกรรมทางการตลาดไม่ยั้ง ตั้งเป้าสิ้นปีเติบโต 20%

นายพิภพ ยิ่งพัฒนา ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นเอลฟ์ บริษัทสิทธิพล 1919 จำกัด บริษัทในเครือกลุ่มสิทธิพล ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทโททาล ออยล์ (ประเทศไทย)จำกัด ซึ่งถือเป็นบริษัทแม่ของน้ำมันเครื่องเอลฟ์ ได้มีการพัฒนารูปแบบร้านค้าใหม่ โดยมีการตกแต่งภายใต้คอนเซ็ปต์ "ELF MOTOZONE"ซึ่งในต่างประเทศมีการเปิดในรูปแบบนี้อยู่แล้ว ในเบื้องต้นจะมีการปรับปรุงร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำมันเครื่องเอลฟ์จำนวน 30 ร้านค้าทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

สำหรับรูปแบบ"ELF MOTOZONE"จะมีคอนเซ๋ปต์หลักๆคือ คัดเลือกร้านค้าที่มีคุณภาพมาตรฐานตามที่บริษัทได้ตั้งไว้ และหลังจากนั้นจะมีการเข้าไปตกแต่ง มีการใช้ผลิตภัณฑ์ของเอลฟ์ และสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยี การอบรมช่าง และกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบในครั้งนี้จะมี 3 รูปแบบ เอ บี และ ซี เนื่องจากพื้นที่แต่ละร้านไม่เท่ากัน แต่เฉลี่ยจะมีการใช้งบประมาณ100,000 บาท หรืออาจจะมากหรือน้อยกว่านั้น

ปัจจุบันเอลฟ์มีตัวแทนจำหน่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศจำนวนกว่า 370 แห่ง ซึ่งการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ในครั้งนี้จะทยอยปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง และเอลฟ์คาดว่าผลของการปรับโฉมใหม่จะเป็นการสร้างการรับรู้ของผู้บริโภค หรือแบรนด์อะแวร์เนส ทำให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำแบรนด์ของเอลฟ์ ขณะเดียวกันเอลฟ์มีแผนงานขยายเครือข่ายต่อเนื่อง เพราะปัจจุบันมีปริมาณลูกค้าที่รอกว่า 1,000 ราย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะขยายแบบค่อยเป็นค่อยไป

นอกจากแผนงานด้านเครือข่ายแล้ว ในปีนี้เอลฟ์ยังรุกตลาดต่อเนื่อง โดยมีการจับมือกับบริษัทโททาล ออยล์ (ประเทศไทย)จำกัด เปิดตัวทีมแข่ง " ELF SMART SPORT RACING TEAM"ซึ่งจะเป็นผู้สนับสนุนหลักในการเข้าแข่งขันในปีนี้ จำนวน 7สนาม และมีนักแข่งในทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง แสน เชยศักดิ์ ,ภราดร ศรีชาพันธุ์ ที่จะใช้รถจักรยานยนต์ในรุ่น ฮอนด้า รุ่นซีบีอาร์ 1000อาร์อาร์ ปี 2009 หมายเลข 78 และ 79 ในการแข่งขัน โดยมีประทีป ปริสุทธิ์สุนทร เป็นผู้จัดการทีม

"ปีนี้เราจะเน้นกิจกรรมทางด้านการตลาดผ่านมอเตอร์สปอร์ต ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จักและแบรนด์มีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันเราจะมีกิจกรรมทางการตลาดที่พ่วงไปกับบริษัทสุทธิผลฯ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมความบันเทิง ชมคอนเสิร์ต อีเวนต์ต่างๆ"

นายพิภพ กล่าวว่า ภาพการแข่งขันในตลาดน้ำมันเครื่องของจักรยานยนต์เป็นไปอย่างดุเดือด โดยมีเบอร์หนึ่งคือคาสตรอล ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดกว่า 20% ขณะที่เอลฟ์ มีส่วนแบ่งทางการตลาด 2% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อย เนื่องมาจากปริมาณการขายของบริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งยังมีจำนวนน้อย เฉลี่ยขายได้ประมาณ 2 ล้านลิตร จากตลาดรวมที่ขายได้ 60-70 ล้านลิตรต่อปี

โดยผลการดำเนินงานของคาสตรอลในช่วงที่ผ่านมาพบว่า ยอดขายน้ำมันเครื่องแบบสี่จังหวะเติบโตมากว่า 20% ขณะที่สัดส่วนของสองจังหวะเริ่มลดลง เนื่องจากรถในตลาดมีน้อย ซึ่งปัจจัยการเติบโตดังกล่าวมาจากตลาดรวมเติบโต มีคู่แข่งขันหลายรายที่มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด อาทิ คาสตรอล ที่มีการจัดระเบียบราคาเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน การปรับเปลี่ยนเส้นทางการจำหน่าย หรือปตท.ที่มีการแข่งขันด้านราคา โดยเอลฟ์คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะสามารถทำยอดขายเติบโตประมาณ 20% หรือคิดเป็นจำนวนน้ำมัน 2 ล้านลิตร

เพิ่มเติม http://www.thannews.th.com/

"เปโดรซา" ซิวโมโตฯ "รอสซี" ที่ 4 เยอรมันจีพี

ดานี เปโดรซา ยอดนักบิดชาวสเปนบดเอาชนะ ฮอร์เก ลอเรนโซ เพื่อนร่วมชาติเข้าเส้นชัยเป็นคันแรกคว้าแชมป์จักรยานยนตร์ทางเรียบชิงแชมป์โลกสนามที่ 8 รุ่นโมโต จีพี มาครองศึกเยอรมัน กรังด์ปรีซ์ ขณะที่ "เดอะ ด็อกเตอร์" วาเลนติโน รอสซี สร้างความฮือฮาเข้ามาในอันดับ 4

ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกสนามที่ 8 ของฤดูกาล 2010 รายการเยอรมัน กรังด์ปรีซ์ แข่งขันกันที่สนามแซสเซนริง เซอร์กิต ประเทศเยอรมนี ระยะทางต่อรอบ 3.671 กิโลเมตร ในรุ่นโมโต จีพี เมื่อค่ำวันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม 2553 น่าตื่นเต้นไม่น้อยสำหรับการขับเคี่ยวกันแย่งชัยกันระหว่าง ฮอร์เก ลอเรนโซ แห่งทีมเฟียต-ยามาฮา ออกตัวในตำแหน่งโพลโพซิชัน, เคซีย์ สโตเนอร์ และ ดานี เปรโดซา ขณะที่ วาเลนติโน รอสซี สร้างความฮือหากลับมาบิดได้อีกครั้ง นับจากขาหักไปเมื่อ 6 สัปดาห์ที่แล้ว ออกสตาร์ทในอันดับที่ 5

โดยตลอดการบิดทั้ง 30 รอบ กลุ่มผู้นำไล่บดไล่บี้เบียดแซงกันอย่างสนุก ก่อนที่สุดท้ายจะเป็น เปโดรซา ยอดนักบิดชาวสเปนของทีมเรปโซล-ฮอนดา ซิ่งผ่านธงตราหมากรุกได้เป็นคันแรก ด้วยเวลา 28 นาที 50.476 วินาที ส่วน ลอเรนโซ น่าเสียดายได้เพียงอันดับ 2 เวลาตามหลังแชมป์สนามที่ 8 อยู่ 3.355 วินาที ด้าน เคซีย์ สโตเนอร์ ชาวออสเตรเลียนของทีมดูคาติ เข้าป้ายอันดับ 3 ตามหลังแชมป์ 5.257 วินาที ส่วน วาเลนติโน รอสซี สตาร์ชาวอิตาเลียนของเฟียต-ยามาฮา ยอดเยี่ยมแซง อังเดร โดวิซิโอโซ ขึ้นมาคว้าอันดับ 4 ตาม เปโดรซา 5.623 วินาที ขณะที่เพื่อนร่วมชาติ (สตาร์ทกริด 4) หล่นไปได้ที่ 5 แทน

จากชัยชนะสนามนี้ส่งผลให้ เปโดรซา เก็บเพิ่มได้อีก 25 คะแนน รวมเป็น 138 คะแนน รั้งอันดับ 2 ของตารางรวมนักขับ ยังตามหลัง ลอเรนโซ ห่างอยู่ 47 แต้ม โดยอันดับ 3 เป็นของ โดวิซิโอโซ ที่ 102 คะแนน ตามมาด้วย สโตเนอร์ 83 คะแนน นิคกี เฮย์เดน หนุ่มหล่อชาวอเมริกันรั้งที่ 5 มี 78 คะแนน ด้านของ รอสซี อยู่ที่ 6 สะสมไปแล้ว 74 แต้มด้วยกัน

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th

"ฟีม" ยังไร้แต้ม "อีเลียส" แชมป์แซสเซนริง

รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดหน้าตี๋สังกัด ไทยฮอนดาพีทีทีสิงห์แซค แห่งศึก โมโตทู ชิงแชมป์โลก ยังไม่สามารถล้างอาถรรพ์สนาม แซสเซนริง ประเทศเยอรมนี ไร้แต้มติดมือเมื่อจบด้วยอันดับ 17 ส่วนแชมป์ตกเป็นของ โทนี อีเลียส บิดสแปนิช จาก เกรซินี เรซซิง ในการแข่งขันเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม

ศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลกสนาม 8 ฤดูกาล 2010 "เยอรมัน กรังด์ปรีซ์" ที่ แซสเซนริง เซอร์กิต ทั้งหมด 29 รอบระยะทางต่อรอบ 3.671 กิโลเมตร รุ่นโมโตทู อังเดร เอียนโนเน นักบิดอิตาเลี่ยนจากค่ายสปีดอัพ คว้าโพลโพซิชัน ส่วน รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิดสังกัดไทยฮอนดาพีทีทีสิงห์แซคจากประเทศไทย อันดับ 18

ปรากฎว่า 2 นักขับจาก สปีด อัพ ออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยมขึ้นนำวัน-ทู กาบอร์ ทาลมัคซี กับ เอียนโนเน อย่างไรก็ตามเป็นฝ่ายหลังที่ทำได้ดีกว่า เพราะผ่านไปเพียงแค่ 3 รอบก็แซงขึ้นเป็นผู้นำ แต่ทว่ามีคนที่ยอดเยี่ยมกว่าคือ โทนี อีเลียส จาก เกรซินี เรซซิง ออกตัวจากอันดับ 3 แซงขึ้นนำก่อนจะเข้าป้ายด้วยเวลา 41 นาที 57.745 วินาที อันดับ 2 เอียนโนเน ตามหลัง 3.297 วินาทีและอันดับ 3 โรแบร์โต โรลโฟ จากค่ายซูเตอร์ ตามหลัง 6.574 วินาที

ส่วน "ฟีม" รัฐภาคย์ นักขับหนึ่งเดียวของไทย ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาบนสนาม แซสเซนริง ไม่เคยมีแต้มกลับออกไป ออกสตาร์ทอันดับ 18 ก่อนจะรูดลงมาอยู่ที่ 22 อย่างไรก็ตามสามารถไต่อันดับจนจบด้วยที่ 17 ทำเวลาตามหลังแชมป์ 29.007 วินาที มี 25 แต้มเท่าเดิมตกมาอยู่อันดับ 15 ส่วนผู้นำ อีเลียส มี 136 แต้ม

อนึ่ง หลังจากแข่งขันที่เยอรมันเสร็จแล้ว รัฐภาคย์ จะเดินทางกลับถึงเมืองไทยในวันอังคารที่ 20 ก.ค.นี้ พร้อมกันนี้จะมีเวลาพักผ่อนในบ้านเกิด ก่อนการแข่งขันในสนามต่อไป สนามที่ 9 รายการ เช็กกรังด์ปรีซ์ จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 ส.ค.53 ณ สนามเบอร์โน สาธารณรัฐเชก

เพิ่มเติม http://www.manager.co.th

1936 Model 30 International Norton

Contributed by Martin


This Norton was photographed at the Racing and Sporting Motorcycle Show at the Horticultural Halls in London, around 1972. It's a road-going 490cc International of 1936. There was a display of machines from the Richards and Wallington collection, and this one was particularly attractive. Roy Richards was later to set up the National Motorcycle Museum which subsequently burnt down in the famous fire, so not sure if this fine machine survived.

and a comment by Pa Houlihan: "Not sure if it's the exact same bike but it is a 1936 Model 30 at the National Motorcycle Museum; this photo (below) was taken in April 2008".

Sunday, July 18, 2010

The 1931 TT races

Photos by Howard, research by Simon


The winners of the 1931 Senior TT; Tim Hunt (number 46, who came 1st at 77.90 mph), Jimmy Guthrie (number 44, 2nd at 77.34 mph), Stanley Woods (number 38, 3rd at 76.35 mph); all riding Model 30 International Nortons.

The woman with her hand on Tim's shoulder most probably is his mother. The man with his hand on Jimmy's shoulder, wearing the hat, on his right is Nigel Spring who entered him for the race. Arthur Carroll is behind Woods, his head is above his right shoulder.

The photo below shows Hunt again, the winner of the '31 Junior on his Model 40

Motorcycle Parking Lot Dangers

Motorcycle Parking Lot Dangers

I’m beginning to think that parking lots are just as dangerous, if not more so, than riding on streets or freeways. No, I have not been involved in any parking lot skirmishes, but I have seen the aftermath of several automobile parking lot crashes recently. So, when you turn off the main drag don’t relax and let your guard down. I think there are more dangers per foot in a parking lot than on the main road.

For one you have a lot of vehicles that have to be backed out of parking spots and a lot of them will be doing so blindly. It’s not that they just don’t see you like when riding in traffic, it’s that they can’t see you at all. Maybe those loud pipes will come in handy here. Parking lots can be more populated than streets or freeways. So, you have to be on your toes and proceed cautiously all the while being prepared to come to a sudden stop. Also, drivers tend to use their turn signals even less in parking lots than on the main roads.

Yes, you are (hopefully) slowing down but that also brings on its own stability issues you don’t have at higher speeds, losing the motorcycles gyroscopic stability. Slow speed maneuvering is an art form in of itself and is a skill if you are not proficient at I recommend hitting some empty parking lots and practicing before venturing out onto public bumper car lots. There are several good motorcycle books and DVD’s out on this very subject.

Another problem to watch out for is vehicles cutting across the lot and not in the designated driving lanes, trying to beat someone to a cherry parking spot. This happens even on empty parking lots with vehicles driving through the parking spaces.

Crowded parking lots also present the problem with pedestrians, especially small children, stepping out from between parked cars right in front of you. Shopping carts can come from anywhere as well. Trash and debris such as glass and cans are hazards that can also be found strewn haphazardly around parking lots.

So, the next time your turn into a parking lot, don’t start to relax. It’s not the time to put your head in stand down mode, on the contrary, it is time to be more on the alert and put those slow speed parking lot maneuvers that you have practiced to use. Ride safe.




Ride on,
Torch